ไนอะซิน Niacin หรือที่รู้จักกันในชื่อวิตามินบี 3 เป็นสารอาหารสำคัญ ที่มีบทบาทสำคัญ ต่อสุขภาพของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างพลังงาน การดูแลสุขภาพหัวใจ และการสนับสนุนระบบประสาท บทความนี้จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับพื้นฐาน ของสารอาหารชนิดนี้ รวมถึงที่มา และบทบาทในร่างกายมนุษย์
ไนอะซินถูกค้นพบ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยนักวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับโรคเพลลากรา ซึ่งเป็นโรค ที่มีความเกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 3 ในยุคแรกๆ ไนอะซินถูกเรียกว่า “กรดนิโคตินิก” เนื่องจากโครงสร้างทางเคมี คล้ายคลึงกับนิโคตินในยาสูบ อย่างไรก็ตาม สารนี้ไม่ได้มีฤทธิ์เสพติดแต่อย่างใด
หลังจากการค้นพบ นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ระบุบทบาทของไนอะซิน ในกระบวนการเมตาบอลิซึม และการผลิตพลังงานในร่างกาย ซึ่งไนอะซินแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่
ไนอะซินเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ร่างกายต้องการ แหล่งอาหารที่มีไนอะซินสูง พร้อมปริมาณต่อหน่วยบริโภค มีดังนี้
การบริโภคอาหารเหล่านี้ สามารถช่วยให้ร่างกาย ได้รับไนอะซิน ในปริมาณที่เพียงพอ ต่อความต้องการในแต่ละวัน โดยปริมาณไนอะซิน ที่แนะนำต่อวันคือเด็กควรได้รับ 6-12 มิลลิกรัมต่อวันและผู้ใหญ่เพศชาย 16 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ใหญ่เพศหญิง 14 มิลลิกรัม สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร 17-18 มิลลิกรัม/ต่อวัน
การรับประทานไนอะซิน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือเภสัชกร เนื่องจากปริมาณ และเวลาที่เหมาะสม อาจแตกต่างกันไป ตามวัตถุประสงค์ในการใช้ และสภาวะสุขภาพ ของแต่ละบุคคล
หากแพทย์สั่งไนอะซิน เพื่อรักษาภาวะไขมันในเลือดสูง มักแนะนำให้รับประทานก่อนนอน โดยเริ่มต้นที่ขนาด 500 มิลลิกรัมต่อวัน และอาจปรับเพิ่มขึ้น ตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ควรรับประทานไนอะซิน พร้อมกับอาหาร
สำหรับการใช้ไนอะซิน ในรูปแบบอาหารเสริมทั่วไป ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ บนฉลากผลิตภัณฑ์ หรือปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนการใช้ และไนอะซินสามารถทานร่วมอาหารเสริมอื่นๆได้เช่น โครเมียม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และส่งเสริมการเผาผลาญไขมัน [1]
การบริโภคไนอะซิน ในปริมาณที่เหมาะสม ตามที่ร่างกายต้องการ จะไม่เป็นอันตราย แต่ควรหลีกเลี่ยง การรับประทาน ในปริมาณที่มากเกินไป โดยไม่ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร หากได้รับไนอะซิน ในปริมาณมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวัน อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น
ที่มา: วิตามินบี 3 [2]
การขาดไนอะซิน ทำให้เกิดโรค Pellagra ซึ่งมีอาการหลัก 3 ประการที่เรียกว่า “3D” ได้แก่
หากไม่ได้รับการรักษา อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ สาเหตุของการขาดไนอะซิน อาจเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไนอะซิน หรือทริปโตเฟนไม่เพียงพอ หรือเกิดจากปัญหา การดูดซึมสารอาหาร ในระบบย่อยอาหาร การรักษามักประกอบด้วยการให้ไนอะซินเสริม และปรับปรุงโภชนาการ [3]
ไนอะซินเป็นวิตามิน ที่มีบทบาทสำคัญ ต่อสุขภาพในหลายด้าน ทั้งการเสริมสร้างพลังงาน การบำรุงหัวใจ และการดูแลผิวพรรณ อย่างไรก็ตาม ควรได้รับไนอะซิน ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง การรับประทานอาหาร ที่มีไนอะซินสูง หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุด จากไนอะซินได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ