
สารสกัด อาร์ติโชค กลายมาเป็นอีกหนึ่งคำ ที่เริ่มคุ้นหูในวงการสุขภาพ ด้วยภาพลักษณ์ของพืช ที่มีดอกสวยงาม และเป็นผักพื้นบ้าน ในหลายประเทศแถบยุโรป อาร์ติโชคจึงไม่ได้มีดีแค่เรื่องรสชาติ แต่ยังถูกพูดถึง ในฐานะของสารสกัดจากธรรมชาติ ที่หลายคนเริ่มให้ความสนใจ ในการนำมาใช้ดูแลร่างกาย
อาร์ติโชค (Artichoke) คือพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cynara scolymus อยู่ในตระกูลเดียวกับดอกทานตะวัน (Asteraceae) มีลักษณะโดดเด่น คือเป็นดอกตูมขนาดใหญ่ ที่มีเกล็ดซ้อนกันหลายชั้น ส่วนที่รับประทานได้ คือส่วนปลายกลีบดอก และหัวใจของดอก (heart of artichoke)
ในประเทศแถบยุโรป และเมดิเตอร์เรเนียน อาร์ติโชคถือเป็นวัตถุดิบสำคัญ ที่ใช้ในเมนูเพื่อสุขภาพ และยังเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ใช้มานานนับศตวรรษ เพื่อบำรุงตับ และช่วยย่อยอาหาร [1]
อาร์ติโชคสดมีเส้นใยอาหารสูง มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนต่ำ และให้พลังงานน้อย เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก และน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ ยังมีแร่ธาตุ และวิตามินสำคัญ เช่น
สารสกัดจากอาร์ติโชค ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม มักได้จากใบ ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ที่โดดเด่น ได้แก่
ไซนารีน (Cynarin) เป็นสารประกอบทางเคมี ที่พบในพืชอาร์ติโชค โดยเฉพาะในส่วนของใบ และหัวใจของดอกอาร์ติโชค ไซนารีนเป็นอนุพันธ์ของกรด caffeic acid และกรด quinic acid ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของสาร hydroxycinnamic acids มีคุณสมบัติทางชีวภาพ ที่สำคัญหลายอย่าง
คุณสมบัติและประโยชน์ของไซนารีน
ที่มา: Cynarin, the natural antioxidant in artichokes [2]
สรุปสารสกัดอาร์ติโชค เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ ในด้านการล้างสารพิษ เสริมการทำงานของตับ และช่วยให้ระบบย่อยอาหาร ทำงานได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย และเหมาะสมกับร่างกายของตนเอง เป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการใช้ร่วมกับการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆอย่างสมดุล
เวลาที่เหมาะสม ในการรับประทานสารสกัดอาร์ติโชค คือก่อนมื้ออาหาร 20–30 นาที การรับประทานก่อนมื้ออาหาร ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดีจากตับ ซึ่งมีบทบาท ในการย่อยไขมัน และขจัดของเสียในร่างกาย โดยเฉพาะสารพิษ ที่ละลายในไขมัน
พร้อมอาหาร หรือหลังมื้ออาหาร บางผลิตภัณฑ์ แนะนำให้รับประทาน พร้อมหรือหลังมื้ออาหาร เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร และลดอาการแน่นท้อง
ปริมาณและระยะเวลา ในการรับประทาน ปริมาณที่แนะนำ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ของสารสกัด ในแต่ละผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไป ปริมาณที่ใช้ ในการศึกษาวิจัย มีตั้งแต่ 250 ถึง 2,700 มก. ต่อวัน ควรรับประทานต่อเนื่องไม่เกิน 12 สัปดาห์ และควรหยุดพัก ก่อนเริ่มรอบใหม่ [3]