
น้ำมันปลา ช่วยอะไร บำรุงหัวใจ สมองจริงไหม?
- Fiona
- 28 views

น้ำมันปลา ช่วยอะไร คำถามนี้อาจเคยผ่านหูผ่านตาใครหลายคน โดยเฉพาะในยุคที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยกระแสเรื่องการดูแลหัวใจ บำรุงสมอง หรือแม้แต่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด น้ำมันปลาในรูปแบบอาหารเสริม จึงกลายเป็นตัวเลือก ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
- น้ำมันปลาคืออะไร?
- ประโยชน์น้ำมันปลาคืออะไร?
- น้ำมันปลาเหมาะกับใคร?
การเสริมน้ำมันปลาคืออะไร?

น้ำมันปลาคือไขมัน ที่สกัดจากเนื้อ หรือส่วนอื่นของปลาทะเลน้ำลึก เช่นปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, ปลาซาร์ดีน, Cod โดยมีสารสำคัญหลัก คือกรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิดโอเมก้า-3 ได้แก่
- EPA (Eicosapentaenoic Acid) มีบทบาทในการลดการอักเสบ ลดไตรกลีเซอไรด์ และป้องกันโรคหัวใจ
- DHA (Docosahexaenoic Acid) มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสมอง สายตา และระบบประสาท
น้ำมันปลามักอยู่ในรูปแบบอาหารเสริม เช่นแคปซูลเจล หรือของเหลว ใช้เพื่อบำรุงสุขภาพในด้านต่างๆ เช่นระบบหัวใจและหลอดเลือด สมอง ข้อต่อ และผิวพรรณ โดยเฉพาะในผู้ที่ได้รับโอเมก้า-3 จากอาหารไม่เพียงพอในแต่ละวัน
ประโยชน์ น้ำมันปลา ช่วยอะไร
- น้ำมันปลา ช่วยอะไร น้ำมันปลาช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเพิ่มความไวของอินซูลิน ในผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และค่าความดัน ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
- บำรุงหัวใจ ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ช่วยลดความดันโลหิตเล็กน้อย ในผู้ที่มีความดันสูง ลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และโรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยป้องกันการอุดตัน ของหลอดเลือด
- ดูแลสมองและระบบประสาท DHA เป็นองค์ประกอบหลัก ของเซลล์สมอง และจอประสาทตา เสริมสร้างพัฒนาการสมองในเด็ก และช่วยบำรุงความจำ ในผู้สูงอายุ ลดความเสี่ยง ของโรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อม
- ต้านการอักเสบ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรัง เช่นข้ออักเสบ Rheumatoid โรคสะเก็ดเงิน และโรคลำไส้อักเสบ ช่วยลดอาการปวดข้อ บวม และเพิ่มความคล่องตัว ในการเคลื่อนไหว
- บำรุงสายตา ช่วยลดความเสี่ยง ของภาวะจอประสาทตาเสื่อมตามวัย (AMD) บรรเทาอาการตาแห้ง ในผู้ใช้คอมพิวเตอร์ หรืออยู่ในห้องแอร์นานๆ
- บำรุงผิวพรรณ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดความแห้งกร้าน ลดการอักเสบของผิว เช่นสิว หรือผื่นแพ้
- เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยปรับสมดุล การทำงาน ของระบบภูมิคุ้มกัน มีผลในการลดการอักเสบ และช่วยควบคุมโรคแพ้ภูมิตัวเองบางชนิด
- ดูแลสุขภาพจิต มีรายงานว่าน้ำมันปลา อาจช่วยลดความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า ส่งผลเชิงบวก ต่อสารสื่อประสาทในสมอง
ผลลัพธ์งานวิจัยน้ำมันปลา
Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism (2006)
- หัวข้อ: Omega-3 Fatty Acids Improve Insulin Sensitivity in Overweight Individuals with Risk of Type 2 Diabetes
- ผลลัพธ์: พบว่าการเสริม EPA และ DHA วันละ 1.8 กรัม ช่วยลดระดับ ไตรกลีเซอไรด์ ได้ชัดเจน และปรับปรุง insulin sensitivity index ในผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน
- กลไก: ลดการอักเสบในระดับเซลล์ (cellular inflammation) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตอบสนอง ของอินซูลิน
Meta-analysis (2020) ในวารสาร Nutrients
- วัตถุประสงค์: วิเคราะห์ผลของ กรดไขมันโอเมก้า-3 ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
- ผลลัพธ์: น้ำมันปลาช่วยลดระดับ น้ำตาลหลังอาหาร (Postprandial Glucose) และ HbA1c ได้อย่างมีนัยสำคัญในบางกลุ่ม (โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะ ไขมันในเลือดสูงร่วมด้วย)
- ข้อสังเกต: ผลลัพธ์อาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับขนาดของ Dosage, ระยะเวลาการใช้งาน, และ พื้นฐานสุขภาพของผู้ป่วย
Diabetes Care (2011)
การทดลองแบบสุ่ม พบว่า น้ำมันปลา (Omega-3) ในขนาดสูง อาจไม่ได้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ชัดเจน ในผู้ป่วยเบาหวานทุกคน แต่ช่วยลด ปัจจัยเสี่ยงด้านหัวใจ ซึ่งเป็นผลดีในระยะยาว
การทานน้ำมันปลาเหมาะกับใคร?
- ผู้ที่ต้องการดูแลหัวใจ ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ป้องกันการอักเสบ ของหลอดเลือด และลดความเสี่ยง ของโรคหัวใจ และหลอดเลือด
- ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง ช่วยลดไขมัน LDL (ไขมันเลว) และอาจช่วยเพิ่ม HDL (ไขมันดี)
- ผู้ป่วยเบาหวาน หรือภาวะดื้อต่ออินซูลิน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร และปรับปรุงดัชนีความไวต่ออินซูลิน
- เด็กและวัยเรียน DHA ช่วยในการพัฒนาสมองและสายตา ส่งเสริมสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
- ผู้สูงอายุ ลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมเช่น Alzheimer’s และช่วยลดการอักเสบของข้อ ในผู้ที่มีภาวะข้อเสื่อม
- ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า หรือเครียดเรื้อรัง มีงานวิจัยที่ชี้ว่า EPA ในน้ำมันปลา ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้
คำแนะนำการเลือกซื้อน้ำมันปลา
- ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐาน และได้รับการรับรอง จากองค์กรอาหารและยา
- ตรวจสอบปริมาณ EPA และ DHA ต่อแคปซูล เพราะเป็นตัวชี้วัดคุณภาพ
- บรรจุภัณฑ์ควรป้องกันแสง และออกซิเดชัน
- มีการผสมน้ำมันวิตามินอี เพื่อรักษาเสถียรภาพ ของกรดไขมัน
น้ำมันปลาข้อควรระวังการทาน
- ผู้ที่มีความเสี่ยง ต่อการมีเลือดออกผิดปกติ น้ำมันปลามีคุณสมบัติ ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการมีเลือดออก ในผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่แพ้อาหารทะเลหรือปลา น้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเล ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล หรือปลา อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ เช่นลมพิษ หายใจลำบาก หรืออาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)
- ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ น้ำมันปลาสามารถลดความดันโลหิตได้ ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำอยู่แล้ว ควรระมัดระวัง เนื่องจากอาจทำให้ความดันโลหิต ลดลงมากเกินไป
- ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากน้ำมันปลา ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานน้ำมันปลา ก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันภาวะเลือดออกมาก ระหว่างหรือหลังการผ่าตัด
- ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด น้ำมันปลาอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่นยาลดความดันโลหิต ยาคุมกำเนิด หรือยาช่วยลดการดูดซึมไขมันจากอาหาร (เช่น Oristat) ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของน้ำมันปลา หรือยาดังกล่าว
ที่มา: น้ำมันปลา กับข้อควรระวังในการบริโภค [1]
สรุป น้ำมันปลาช่วยคุมน้ำตาลในเลือด
น้ำมันปลา ช่วยอะไร น้ำมันปลาเป็นอาหารเสริม ที่มีคุณประโยชน์รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลหัวใจ สมอง ข้อต่อ สายตา และที่สำคัญคือ มีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ในกลุ่มผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือเสี่ยงเบาหวาน การเลือกผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาที่มีคุณภาพ และการใช้ในปริมาณเหมาะสม จะช่วยเสริมสุขภาพในระยะยาว
ควรกินน้ำมันปลาตอนไหนดีที่สุด?
พร้อมหรือหลังมื้ออาหารภายใน 30 นาที การรับประทานน้ำมันปลา พร้อมอาหาร หรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาทีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมกรดไขมันโอเมก้า-3 ได้ดียิ่งขึ้น และลดอาการข้างเคียง เช่นคลื่นไส้หรือท้องเสีย
มื้อกลางวัน หรือมื้อเย็น หากมื้อเช้ามีไขมันน้อย การรอรับประทานน้ำมันปลา พร้อมมื้อกลางวัน หรือมื้อเย็น ซึ่งมีไขมันมากกว่า อาจช่วยเพิ่มการดูดซึมของร่างกายได้ [2]
น้ำมันปลาไม่ควรทานคู่อะไร?
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และยาต้านเกล็ดเลือด น้ำมันปลามีคุณสมบัติ ในการต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออก โดยเฉพาะเมื่อรับประทาน ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น Warfarin หรือ Aspirin
- ยาลดความดันโลหิต น้ำมันปลาสามารถลดความดันโลหิตได้ ดังนั้น การรับประทานร่วมกับยาลดความดันโลหิต อาจทำให้ความดันโลหิตลดต่ำเกินไป
- ยาคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดอาจลดประสิทธิภาพ ของน้ำมันปลา ในการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
- ยาลดการดูดซึมไขมัน (Orlistat) ยา Orlistat ใช้ลดการดูดซึมไขมันจากอาหาร ซึ่งอาจลดการดูดซึมกรดไขมันโอเมก้า-3 จากน้ำมันปลาได้เช่นกัน ควรรับประทานยา Orlistat และน้ำมันปลา ให้ห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- ยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น Cyclosporine) น้ำมันปลาอาจเพิ่มประสิทธิภาพ ของยากดภูมิคุ้มกัน เช่น Cyclosporine ซึ่งอาจทำให้ภูมิคุ้มกันลดต่ำเกินไป และเพิ่มความเสี่ยง ในการเกิดผลข้างเคียง
ที่มา: น้ำมันปลา ไม่ควรกินคู่กับ อะไร และข้อควรระวังในการบริโภคน้ำมันปลา [3]
- Tags: สุขภาพ


