
ธัญพืชอะไรที่มี Zinc สูง เป็นคำถามที่หลายคนเริ่มสนใจ เพราะซิงค์ไม่ได้มีดีแค่กับผิว เล็บ และเส้นผม แต่ยังมีผลต่อภูมิคุ้มกัน การสมานแผล การรับรส รับกลิ่น ฮอร์โมน การทำงานของเอนไซม์หลายร้อยชนิด และการเจริญเติบโตของเด็ก จุดสำคัญคือซิงค์จากธัญพืช มักซ่อนอยู่ในชั้นรำและจมูกเมล็ดของธัญพืช
ซิงค์เป็นธาตุที่มนุษย์รู้จัก และนำมาใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ หลักฐานการผสมแร่ซิงค์ กับทองแดง เพื่อทำเป็นทองเหลืองมีมาตั้งแต่ราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยพบทั้งในเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแถบเมดิเตอร์เรเนียน ในอินเดียมีการผลิตทองเหลือง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล
ต่อมาศตวรรษที่ 9–10 ก็สามารถแยกโลหะซิงค์ ออกมาได้ด้วยวิธีการกลั่นที่เมือง Zawar คำว่าซิงค์เชื่อว่ามีรากศัพท์จากภาษาเยอรมัน zinke ที่หมายถึงฟัน หรือหนาม เนื่องจากผลึกซิงค์ มีลักษณะแหลม ในยุโรปการแยกซิงค์บริสุทธิ์ เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1746 โดย Andreas Sigismund Marggraf นักเคมีชาวเยอรมัน
ก่อนหน้านั้นได้พยายามสกัดจากซิงค์ออกไซด์ เช่นในปี ค.ศ. 1668 โดย P. M. de Respour ต่อมาในศตวรรษที่ 18 ได้มีการพัฒนากระบวนการกลั่น ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดย William Champion ได้จดสิทธิบัตร วิธีใช้หม้อกลั่นแนวตั้ง เพื่อสกัดซิงค์จากแร่แคลไมน์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ซิงค์ถูกใช้อย่างแพร่หลาย (21 สิงหาคม 2025) [1]
ที่มา: Zinc What it does for the body (7 เมษายน 2025) [2]
เด็กแรกเกิดถึง 12 เดือน ร่างกายต้องการซิงค์วันละประมาณ 2-3 มิลลิกรัมโดยทารก 0-6 เดือนอยู่ที่ 2 มิลลิกรัมและทารก 7-12 เดือนอยู่ที่ 3 มิลลิกรัมเมื่อโตขึ้น เด็กอายุ 1-3 ปีต้องการซิงค์ประมาณ 3 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กอายุ 4-8 ปีเพิ่มเป็น 5 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กอายุ 9-13 ปีอยู่ที่ 8 มิลลิกรัมต่อวัน
ส่วนวัยรุ่นชายอายุ 14-18 ปีต้องการประมาณ 11 มิลลิกรัมขณะที่วัยรุ่นหญิง ในช่วงเดียวกัน ต้องการประมาณ 9 มิลลิกรัม ผู้ใหญ่โดยทั่วไป ผู้ชายอายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไปควรได้รับซิงค์ วันละประมาณ 11 มิลลิกรัมส่วนผู้หญิงในวัยผู้ใหญ่ ที่ไม่ตั้งครรภ์อยู่ที่ 8 มิลลิกรัม
เมื่ออยู่ในสถานะตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ร่างกายต้องการซิงค์เพิ่มขึ้น วัยรุ่นหญิงตั้งครรภ์ที่อายุ 14-18 ปีต้องการประมาณ 12 มิลลิกรัมส่วนหญิงตั้งครรภ์ อายุมากกว่า 19 ปีอยู่ที่ 11 มิลลิกรัมถ้าให้นมบุตร วัยรุ่นหญิงต้องการ 13 มิลลิกรัมและผู้หญิงให้นมบุตร ที่อายุมากกว่า 19 ปีต้องการ 12 มิลลิกรัม (4 ตุลาคม 2022) [3]
ถ้าร่างกายขาดซิงค์ จะส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยอาการที่พบบ่อย คือภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย แผลหายช้า ผิวพรรณไม่แข็งแรง เกิดสิว ผมร่วง หรือเล็บเปราะง่าย เด็กที่ขาดซิงค์ อาจมีการเจริญเติบโตช้า สมาธิสั้น และพัฒนาการทางเพศล่าช้า
ส่วนผู้ใหญ่ที่ขาดซิงค์ อาจประสบปัญหาการรับรส และกลิ่นลดลง เบื่ออาหาร ท้องเสียบ่อย รวมถึงอาจมีภาวะการทำงานของฮอร์โมนผิดปกติ ซึ่งทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่าซิงค์ เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อสุขภาพ ในทุกช่วงวัย
หากร่างกายได้รับซิงค์มากเกินไป จะทำให้เกิดอาการเช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย และเบื่ออาหาร หากได้รับต่อเนื่องในปริมาณสูง อาจทำให้ระดับทองแดงในร่างกายลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
นอกจากนี้การได้รับซิงค์เกิน ยังอาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก และแร่ธาตุอื่นๆ จนทำให้สมดุลสารอาหารในร่างกายเสียไป ดังนั้นการทานอาหารเสริมซิงค์ จึงควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินความจำเป็น
ซิงค์เป็นแร่ธาตุที่ร่างกาย ใช้ในกระบวนการสำคัญหลายร้อยชนิด ตั้งแต่การสร้างภูมิคุ้มกัน การสมานแผล การผลิตฮอร์โมน ไปจนถึงการเจริญเติบโต การรับรสกลิ่น ธัญพืชถือเป็นหนึ่งในแหล่งซิงค์ ที่หาทานได้ง่าย เช่นรำข้าวสาลี จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ควินัว หรือข้าวฟ่าง ช่วยให้ร่างกายได้รับซิงค์อย่างเพียงพอ
การดูดซึมซิงค์จะดีขึ้น เมื่อรับประทานคู่กับ โปรตีนจากสัตว์ เช่นเนื้อสัตว์ ปลา ไก่ หรืออาหารทะเล เพราะกรดอะมิโนบางชนิด ช่วยจับซิงค์ ให้อยู่ในรูปที่ดูดซึมได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การกินซิงค์ร่วมกับอาหารที่มี วิตามินซี จากผลไม้รสเปรี้ยว เบอร์รี หรือผักสด ก็ช่วยเสริมประสิทธิภาพการดูดซึมได้เช่นกัน
ซิงค์ไม่ควรรับประทาน พร้อมกับอาหาร หรือสารที่รบกวนการดูดซึมเช่น phytate เนื่องจากสามารถจับกับซิงค์ และทำให้ร่างกายดูดซึมได้น้อยลง นอกจากนี้ แทนนินในชา กาแฟ รวมถึง แคลเซียม และเหล็กในปริมาณสูง ก็อาจแย่งการดูดซึมกับซิงค์ได้เช่นกัน ควรแยกเวลาการรับประทานอย่างน้อย 2–3 ชั่วโมง