คอลลาเจน ไตรเปปไทด์ บำรุงผิว ผม เล็บ อย่างไร?

คอลลาเจน ไตรเปปไทด์

คอลลาเจน ไตรเปปไทด์ เป็นหนึ่งในสารอาหาร ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในวงการสุขภาพและความงาม เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดเลือนริ้วรอย และเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ข้อต่อ เส้นผม และเล็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญ กับการดูแลร่างกาย จากภายในสู่ภายนอก

คอลลาเจนรูปแบบไตรเปปไทด์ คืออะไร?

คอลลาเจนไตรเปปไทด์เป็นรูปแบบของคอลลาเจน ที่ผ่านกระบวนการ Hydrolyzed จนได้โมเลกุลที่มีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ มากกว่าคอลลาเจนชนิดอื่นๆ

โดยคอลลาเจนไตรเปปไทด์ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 3 หน่วย (Glycine-Proline-Hydroxyproline) ที่มีความจำเป็น ต่อกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจนในร่างกาย

คุณสมบัติที่ดีของคอลลาเจนไตรเปปไทด์

  • ดูดซึมได้รวดเร็ว เนื่องจากเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน ตามธรรมชาติในร่างกาย
  • เสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิว ช่วยให้ผิวกระชับ และลดเลือนริ้วรอย
  • บำรุงกระดูกและข้อต่อ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก และข้อต่อ
  • ส่งเสริมสุขภาพของเส้นผม และเล็บ ป้องกันเส้นผมเปราะขาด และช่วยให้เล็บแข็งแรง

แหล่งอาหารที่มีคอลลาเจนไตรเปปไทด์

คอลลาเจน ไตรเปปไทด์
  • ปลาทะเลน้ำลึก เช่นปลาแซลมอน ปลาค็อด
  • กระดูกอ่อนสัตว์ เช่นกระดูกหมู กระดูกวัว
  • ไข่ขาว
  • เจลาติน
  • อาหารเสริมคอลลาเจนไตรเปปไทด์

คอลลาเจน ไตรเปปไทด์ ช่วยเรื่องอะไร?

  • คอลลาเจนไตรเปปไทด์ช่วย บำรุงผิวพรรณ เติมเต็มและรักษาความชุ่มชื้นของผิว ลดริ้วรอยและร่องลึก ปกป้องผิว จากอนุมูลอิสระ
  • บำรุงเส้นผม ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง ลดการหลุดร่วง เพิ่มความเงางาม ของเส้นผม ลดปัญหาผมแห้งเสีย จากการทำสี หรือโดนความร้อน
  • เสริมสร้างเล็บ ให้แข็งแรง ลดอาการเล็บเปราะ และหักง่าย ช่วยให้เล็บเติบโตเร็วขึ้น และแข็งแรงขึ้น ป้องกันปัญหาเล็บบาง หรือฉีกขาด
  • บำรุงกระดูก และข้อต่อ ช่วยเสริมสร้าง มวลกระดูก ลดอาการปวดข้อ จากโรคข้อเสื่อม กระตุ้นการผลิตน้ำหล่อลื่น ในข้อต่อ

ที่มา: Effects of Collagen Tripeptide Supplement [1]

วิธีกินคอลลาเจนให้ได้ผลที่ดี

  • ควรรับประทาน ในขณะที่ท้องว่าง เพื่อให้ร่างกาย ดูดซึมได้ดีขึ้น
  • ควรรับประทาน ร่วมกับวิตามินซี เพราะช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน
  • หลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีน้ำตาลสูง เพราะอาจทำให้คอลลาเจนในร่างกาย เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  • ควรรับประทานต่อเนื่อง เป็นระยะเวลา อย่างน้อย 8-12 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ ที่ชัดเจนที่สุด

อาหารเสริมผมและเล็บที่กินร่วมกันได้

อาหารเสริมคอลลาเจนไตรเปปไทด์ มักถูกนำมาใช้ ในสูตรบำรุงเส้นผมและเล็บ เนื่องจากเป็นแหล่งของโปรตีน และกรดอะมิโนที่จำเป็น ในการสร้างโครงสร้าง ของเส้นผมและเล็บ นอกจากคอลลาเจนไตรเปปไทด์แล้ว อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงสุขภาพผม และเล็บยัง ยังมี

  • ไบโอติน (Biotin) ช่วยป้องกันผมร่วง และเสริมความแข็งแรงของเล็บ
  • ซิงค์ (Zinc) ลดอาการผมขาดหลุดร่วง และช่วยให้เล็บแข็งแรง
  • วิตามินซี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และป้องกันผมแห้งเสีย
  • กรดอะมิโน (Amino Acids) มีส่วนสำคัญ ในการสร้างเคราติน ซึ่งเป็นโครงสร้างหลัก ของเส้นผมและเล็บ

สรุป คอลลาเจนไตรเปปไทด์ ดีต่อผมและเล็บ

คอลลาเจนไตรเปปไทด์เป็นคอลลาเจนที่มีขนาดโมเลกุลเล็ก ทำให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี และมีประโยชน์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงผิว ลดเลือนริ้วรอย เสริมสร้างกระดูก และข้อต่อ รวมถึงช่วยบำรุงเส้นผมและเล็บให้แข็งแรง หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเลือกรับประทานร่วมกับสารอาหารอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย

Dipeptides Tripeptides ต่างกันยังไง?

  • ขนาดโมเลกุล และโครงสร้าง คอลลาเจนไดเปปไทด์ประกอบด้วยกรดอะมิโน 2 ตัวเรียงต่อกัน มีขนาดโมเลกุลเฉลี่ยประมาณ 200 ดาลตัน ส่วนคอลลาเจนไตรเปปไทด์ ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ตัวเรียงต่อกัน มีขนาดโมเลกุลเฉลี่ย ประมาณ 500-1,000 ดาลตัน
  • การดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย คอลลาเจนไดเปปไทด์ด้วยขนาดโมเลกุลที่เล็กมาก ทำให้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการย่อย ของลำไส้เล็ก สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง ส่วนคอลลาเจนไตรเปปไทด์ แม้จะมีขนาดโมเลกุลเล็ก แต่ยังต้องผ่านกระบวนการย่อยบางส่วน ก่อนการดูดซึม
  • ประสิทธิภาพในการใช้งาน คอลลาเจนไดเปปไทด์เนื่องจากดูดซึมได้รวดเร็ว และตรงเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที ส่งผลดีต่อการบำรุงผิวพรรณ เส้นผม เล็บ และข้อต่อต่างๆ ส่วนคอลลาเจนไตรเปปไทด์ แม้จะมีประสิทธิภาพในการบำรุงเช่นกัน แต่อาจมีการดูดซึมที่ช้ากว่า

ที่มา: เลือกกินคอลลาเจนอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด [2]

 

ผู้ที่เป็นโรคอะไรห้ามกินคอลลาเจน?

  • แพ้อาหาร: ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพ้อาหารทะเล ควรระวังการรับประทานคอลลาเจน เนื่องจากคอลลาเจนบางชนิดสกัดจากปลาทะเล ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้รุนแรงเฉียบพลันได้
  • โรคไต: ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังหรือผู้ที่ต้องฟอกไต ควรระวังการรับประทานโปรตีนในปริมาณมาก รวมถึงคอลลาเจน เนื่องจากไตต้องทำงานหนักขึ้น ในการกรอง และกำจัดของเสีย อาจเสี่ยงต่อภาวะไตวายเฉียบพลันได้
  • โรคตับ: ผู้ป่วยโรคตับ ควรระวังการรับประทานอาหารเสริม รวมถึงคอลลาเจน เนื่องจากอาจเพิ่มภาระให้ตับในการเผาผลาญและกำจัดสารต่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับอักเสบได้
  • โรคเกาต์: ผู้ป่วยโรคเกาต์จำเป็นต้องจำกัดการรับประทานโปรตีน และพิวรีน คอลลาเจนที่สกัดจากปลาทะเลอาจมีพิวรีนสูง ซึ่งอาจกระตุ้นให้อาการของโรคเกาต์กำเริบได้
  • โรคมะเร็ง: ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรับการรักษา ควรระวังการรับประทานคอลลาเจน เนื่องจากอาจมีปฏิกิริยากับยา หรือการรักษาที่ได้รับอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
  • โรคไทรอยด์ (ชนิดผอม): ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ชนิดผอม ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานคอลลาเจน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบ ต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์
  • โรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus) หรือลูปัส: ผู้ป่วยโรค SLE ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานคอลลาเจน เนื่องจากอาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น
  • โรคเยื่อบุมดลูกหนาตัว (Endometrial Hyperplasia): ผู้ป่วยโรคนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานคอลลาเจน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อฮอร์โมน และทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น

ที่มา: คอลลาเจน ประโยชน์ ที่มากกว่าแค่อาหารเสริม เติมความสดใสให้ทุกวัย [3]

 

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง