
คอลลาเจน ไตรเปปไทด์ บำรุงผิว ผม เล็บ อย่างไร?
- Fiona
 - 41 views
 

คอลลาเจน ไตรเปปไทด์ เป็นหนึ่งในสารอาหาร ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในวงการสุขภาพและความงาม เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดเลือนริ้วรอย และเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ข้อต่อ เส้นผม และเล็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญ กับการดูแลร่างกาย จากภายในสู่ภายนอก
คอลลาเจนรูปแบบไตรเปปไทด์ คืออะไร?
คอลลาเจนไตรเปปไทด์เป็นรูปแบบของคอลลาเจน ที่ผ่านกระบวนการ Hydrolyzed จนได้โมเลกุลที่มีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ มากกว่าคอลลาเจนชนิดอื่นๆ
โดยคอลลาเจนไตรเปปไทด์ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 3 หน่วย (Glycine-Proline-Hydroxyproline) ที่มีความจำเป็น ต่อกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจนในร่างกาย
คุณสมบัติที่ดีของคอลลาเจนไตรเปปไทด์
- ดูดซึมได้รวดเร็ว เนื่องจากเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที
 - กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน ตามธรรมชาติในร่างกาย
 - เสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิว ช่วยให้ผิวกระชับ และลดเลือนริ้วรอย
 - บำรุงกระดูกและข้อต่อ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก และข้อต่อ
 - ส่งเสริมสุขภาพของเส้นผม และเล็บ ป้องกันเส้นผมเปราะขาด และช่วยให้เล็บแข็งแรง
 
แหล่งอาหารที่มีคอลลาเจนไตรเปปไทด์

- ปลาทะเลน้ำลึก เช่นปลาแซลมอน ปลาค็อด
 - กระดูกอ่อนสัตว์ เช่นกระดูกหมู กระดูกวัว
 - ไข่ขาว
 - เจลาติน
 - อาหารเสริมคอลลาเจนไตรเปปไทด์
 
คอลลาเจน ไตรเปปไทด์ ช่วยเรื่องอะไร?
- คอลลาเจนไตรเปปไทด์ช่วย บำรุงผิวพรรณ เติมเต็มและรักษาความชุ่มชื้นของผิว ลดริ้วรอยและร่องลึก ปกป้องผิว จากอนุมูลอิสระ
 - บำรุงเส้นผม ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง ลดการหลุดร่วง เพิ่มความเงางาม ของเส้นผม ลดปัญหาผมแห้งเสีย จากการทำสี หรือโดนความร้อน
 - เสริมสร้างเล็บ ให้แข็งแรง ลดอาการเล็บเปราะ และหักง่าย ช่วยให้เล็บเติบโตเร็วขึ้น และแข็งแรงขึ้น ป้องกันปัญหาเล็บบาง หรือฉีกขาด
 - บำรุงกระดูก และข้อต่อ ช่วยเสริมสร้าง มวลกระดูก ลดอาการปวดข้อ จากโรคข้อเสื่อม กระตุ้นการผลิตน้ำหล่อลื่น ในข้อต่อ
 
ที่มา: Effects of Collagen Tripeptide Supplement [1]
วิธีกินคอลลาเจนให้ได้ผลที่ดี
- ควรรับประทาน ในขณะที่ท้องว่าง เพื่อให้ร่างกาย ดูดซึมได้ดีขึ้น
 - ควรรับประทาน ร่วมกับวิตามินซี เพราะช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน
 - หลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีน้ำตาลสูง เพราะอาจทำให้คอลลาเจนในร่างกาย เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
 - ควรรับประทานต่อเนื่อง เป็นระยะเวลา อย่างน้อย 8-12 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ ที่ชัดเจนที่สุด
 
อาหารเสริมผมและเล็บที่กินร่วมกันได้
อาหารเสริมคอลลาเจนไตรเปปไทด์ มักถูกนำมาใช้ ในสูตรบำรุงเส้นผมและเล็บ เนื่องจากเป็นแหล่งของโปรตีน และกรดอะมิโนที่จำเป็น ในการสร้างโครงสร้าง ของเส้นผมและเล็บ นอกจากคอลลาเจนไตรเปปไทด์แล้ว อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงสุขภาพผม และเล็บยัง ยังมี
- ไบโอติน (Biotin) ช่วยป้องกันผมร่วง และเสริมความแข็งแรงของเล็บ
 - ซิงค์ (Zinc) ลดอาการผมขาดหลุดร่วง และช่วยให้เล็บแข็งแรง
 - วิตามินซี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และป้องกันผมแห้งเสีย
 - กรดอะมิโน (Amino Acids) มีส่วนสำคัญ ในการสร้างเคราติน ซึ่งเป็นโครงสร้างหลัก ของเส้นผมและเล็บ
 
สรุป คอลลาเจนไตรเปปไทด์ ดีต่อผมและเล็บ
คอลลาเจนไตรเปปไทด์เป็นคอลลาเจนที่มีขนาดโมเลกุลเล็ก ทำให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี และมีประโยชน์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงผิว ลดเลือนริ้วรอย เสริมสร้างกระดูก และข้อต่อ รวมถึงช่วยบำรุงเส้นผมและเล็บให้แข็งแรง หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเลือกรับประทานร่วมกับสารอาหารอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย
Dipeptides Tripeptides ต่างกันยังไง?
- ขนาดโมเลกุล และโครงสร้าง คอลลาเจนไดเปปไทด์ประกอบด้วยกรดอะมิโน 2 ตัวเรียงต่อกัน มีขนาดโมเลกุลเฉลี่ยประมาณ 200 ดาลตัน ส่วนคอลลาเจนไตรเปปไทด์ ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ตัวเรียงต่อกัน มีขนาดโมเลกุลเฉลี่ย ประมาณ 500-1,000 ดาลตัน
 - การดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย คอลลาเจนไดเปปไทด์ด้วยขนาดโมเลกุลที่เล็กมาก ทำให้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการย่อย ของลำไส้เล็ก สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง ส่วนคอลลาเจนไตรเปปไทด์ แม้จะมีขนาดโมเลกุลเล็ก แต่ยังต้องผ่านกระบวนการย่อยบางส่วน ก่อนการดูดซึม
 - ประสิทธิภาพในการใช้งาน คอลลาเจนไดเปปไทด์เนื่องจากดูดซึมได้รวดเร็ว และตรงเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที ส่งผลดีต่อการบำรุงผิวพรรณ เส้นผม เล็บ และข้อต่อต่างๆ ส่วนคอลลาเจนไตรเปปไทด์ แม้จะมีประสิทธิภาพในการบำรุงเช่นกัน แต่อาจมีการดูดซึมที่ช้ากว่า
 
ที่มา: เลือกกินคอลลาเจนอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด [2]
ผู้ที่เป็นโรคอะไรห้ามกินคอลลาเจน?
- แพ้อาหาร: ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพ้อาหารทะเล ควรระวังการรับประทานคอลลาเจน เนื่องจากคอลลาเจนบางชนิดสกัดจากปลาทะเล ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้รุนแรงเฉียบพลันได้
 - โรคไต: ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังหรือผู้ที่ต้องฟอกไต ควรระวังการรับประทานโปรตีนในปริมาณมาก รวมถึงคอลลาเจน เนื่องจากไตต้องทำงานหนักขึ้น ในการกรอง และกำจัดของเสีย อาจเสี่ยงต่อภาวะไตวายเฉียบพลันได้
 - โรคตับ: ผู้ป่วยโรคตับ ควรระวังการรับประทานอาหารเสริม รวมถึงคอลลาเจน เนื่องจากอาจเพิ่มภาระให้ตับในการเผาผลาญและกำจัดสารต่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับอักเสบได้
 - โรคเกาต์: ผู้ป่วยโรคเกาต์จำเป็นต้องจำกัดการรับประทานโปรตีน และพิวรีน คอลลาเจนที่สกัดจากปลาทะเลอาจมีพิวรีนสูง ซึ่งอาจกระตุ้นให้อาการของโรคเกาต์กำเริบได้
 - โรคมะเร็ง: ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรับการรักษา ควรระวังการรับประทานคอลลาเจน เนื่องจากอาจมีปฏิกิริยากับยา หรือการรักษาที่ได้รับอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
 - โรคไทรอยด์ (ชนิดผอม): ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ชนิดผอม ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานคอลลาเจน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบ ต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์
 - โรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus) หรือลูปัส: ผู้ป่วยโรค SLE ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานคอลลาเจน เนื่องจากอาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น
 - โรคเยื่อบุมดลูกหนาตัว (Endometrial Hyperplasia): ผู้ป่วยโรคนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานคอลลาเจน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อฮอร์โมน และทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น
 
ที่มา: คอลลาเจน ประโยชน์ ที่มากกว่าแค่อาหารเสริม เติมความสดใสให้ทุกวัย [3]
- Tags: สุขภาพ
 


