
คลอเรลล่า ช่วยอะไร คำถามนี้เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้น ในกลุ่มคนรักสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่หลายคน ให้ความสำคัญ กับการดูแลร่างกายจากภายใน ไม่ว่าจะเป็นการล้างสารพิษ ฟื้นฟูสมดุลลำไส้ หรือเสริมภูมิคุ้มกัน ชื่อของคลอเรลล่าจึงค่อยๆ เข้ามาอยู่ในความสนใจ ของผู้ที่มองหาอาหารเสริม หรือแหล่งสารอาหารธรรมชาติ
คลอเรลล่า (Chlorella) คือสาหร่ายสีเขียวเซลล์เดียวชนิดหนึ่ง ที่เจริญเติบโตในน้ำจืด มีขนาดเล็ก จนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะ โปรตีน, คลอโรฟิลล์, วิตามิน, แร่ธาตุ, และ สารต้านอนุมูลอิสระ จึงมักถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Super Food” และนิยมนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
จุดเด่นของคลอเรลล่า คือมีปริมาณคลอโรฟิลล์สูงที่สุด ในบรรดาพืชทั้งหมดในโลก อีกทั้งยังมีผนังเซลล์ ที่แข็งแรง ซึ่งสามารถดักจับสารพิษ และโลหะหนักได้ จึงมักถูกใช้ เพื่อช่วยล้างสารพิษ ดีท็อกซ์จากร่างกาย
ที่มา: Chlorella: Are There Health Benefits? [1]
คลอเรลล่ามีให้เลือกหลายรูปแบบ เพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และวัตถุประสงค์ของแต่ละคน โดยแต่ละรูปแบบ มีข้อดีแตกต่างกัน สามารถเลือกใช้ ได้ตามความสะดวก ดังนี้
คลอเรลล่า ช่วยอะไร คลอเรลล่านิยมใช้ในอาหารเสริม เพื่อการดีท็อกซ์ เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่นในการจับสารพิษ ขับของเสียออกจากร่างกาย โลหะหนัก เช่นตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งมักสะสมในตับ ลำไส้ และเลือด เมื่อได้รับจากสิ่งแวดล้อม อาหาร หรือยา จะช่วยดึงสารพิษออก แล้วขับถ่ายผ่านลำไส้ ได้อย่างปลอดภัย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีคลอเรลล่าในกลุ่มดีท็อกซ์ มักผสมร่วมกับสารอาหารอื่น ที่ส่งเสริมการขับถ่าย และฟื้นฟูร่างกาย เช่นไฟเบอร์จากพืช พรีไบโอติกส์ แมกนีเซียม ซิตรัสเพคติน หรือสารสกัดจากสาหร่ายอื่น เช่นสไปรูลินา หรือบาร์เลย์วีตกราส ซึ่งทั้งหมดนี้ ช่วยเสริมฤทธิ์กัน ในการล้างสารพิษ และบำรุงลำไส้
ในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง ระบบขับถ่ายไม่ดี หรือรู้สึกอ่อนล้าเรื้อรัง อาหารเสริมที่มีคลอเรลล่าเป็นส่วนประกอบ มักได้รับความนิยม เพราะนอกจากช่วยขับของเสียแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น เสริมภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูสมดุลระบบภายในโดยรวม
ที่มา: Health Benefits of Chlorella [2]
คลอเรลล่าเป็นสาหร่ายขนาดจิ๋ว ที่เต็มไปด้วยโปรตีน วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระหลากชนิด มีคุณสมบัติเด่น ในการช่วยดีท็อกซ์ ขับสารพิษ บำรุงลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูร่างกาย ปัจจุบันมีให้เลือกในหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบผงและแคปซูล อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ควรเลือกจากแหล่งผลิตที่ปลอดภัย
ที่มา: What is the Best Time to Take Chlorella? [3]