คลอเรลล่า ช่วยอะไร สาหร่ายที่ช่วยดีท็อกซ์

คลอเรลล่า ช่วยอะไร

คลอเรลล่า ช่วยอะไร คำถามนี้เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้น ในกลุ่มคนรักสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่หลายคน ให้ความสำคัญ กับการดูแลร่างกายจากภายใน ไม่ว่าจะเป็นการล้างสารพิษ ฟื้นฟูสมดุลลำไส้ หรือเสริมภูมิคุ้มกัน ชื่อของคลอเรลล่าจึงค่อยๆ เข้ามาอยู่ในความสนใจ ของผู้ที่มองหาอาหารเสริม หรือแหล่งสารอาหารธรรมชาติ

  • สาหร่าย Chlorella คืออะไร?
  • สาหร่าย คลอเรลล่า ช่วยอะไร
  • ข้อเสียของคลอเรลล่าคืออะไร?

สาหร่าย Chlorella คืออะไร?

คลอเรลล่า ช่วยอะไร

คลอเรลล่า (Chlorella) คือสาหร่ายสีเขียวเซลล์เดียวชนิดหนึ่ง ที่เจริญเติบโตในน้ำจืด มีขนาดเล็ก จนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะ โปรตีน, คลอโรฟิลล์, วิตามิน, แร่ธาตุ, และ สารต้านอนุมูลอิสระ จึงมักถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Super Food” และนิยมนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

จุดเด่นของคลอเรลล่า คือมีปริมาณคลอโรฟิลล์สูงที่สุด ในบรรดาพืชทั้งหมดในโลก อีกทั้งยังมีผนังเซลล์ ที่แข็งแรง ซึ่งสามารถดักจับสารพิษ และโลหะหนักได้ จึงมักถูกใช้ เพื่อช่วยล้างสารพิษ ดีท็อกซ์จากร่างกาย

คุณค่าโภชนาการคลอเรลล่า

  • โปรตีนสูงมาก 50–60% ของน้ำหนักแห้ง เป็นโปรตีนสมบูรณ์ มีกรดอะมิโน ที่จำเป็นครบถ้วน
  • วิตามินหลายชนิด เช่น B1 B2 B6 B12 (บางสายพันธุ์) วิตามิน C E A (จากเบต้าแคโรทีน) และวิตามิน K
  • แร่ธาตุสำคัญ เช่นธาตุเหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม แคลเซียม โพแทสเซียม
  • คลอโรฟิลล์เข้มข้น ช่วยฟื้นฟูเซลล์ และล้างสารพิษ
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นลูทีน ซีแซนทีน แคโรทีนอยด์
  • มีไฟเบอร์ธรรมชาติ ช่วยระบบขับถ่าย และลำไส้
  • มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 ในปริมาณเล็กน้อย บำรุงสมองและหัวใจ

สาหร่าย คลอเรลล่า ช่วยอะไร

  • ช่วยดีท็อกซ์โลหะหนัก และสารพิษในร่างกาย คลอเรลล่ามีคุณสมบัติ ในการจับโลหะหนัก เช่นปรอท ตะกั่ว และแคดเมียม ช่วยขับออกจากร่างกาย ผ่านระบบขับถ่าย
  • ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด มีการศึกษาว่า คลอเรลล่าสามารถช่วยลดระดับ LDL (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี) และไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
  • ช่วยควบคุมความดันโลหิต การบริโภคคลอเรลล่า ในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยให้ความดันโลหิต อยู่ในระดับปกติ และเพิ่มความยืดหยุ่น ของหลอดเลือด
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยปกป้องเซลล์ จากความเสียหาย และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง
  • เสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เพิ่มความสามารถ ในการต่อต้านเชื้อโรค และไวรัส
  • สนับสนุนสุขภาพลำไส้ และระบบขับถ่าย มีไฟเบอร์สูง ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ ลดอาการท้องผูก และฟื้นฟูสุขภาพลำไส้
  • บำรุงผิวพรรณ และลดความหมองคล้ำ สารอาหารในคลอเรลล่า ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิว ลดการเกิดริ้วรอย และส่งเสริมผิวกระจ่างใส จากภายใน
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด บางการศึกษาพบว่าคลอเรลล่า อาจมีส่วนช่วยลดน้ำตาลในเลือด ในผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน

ที่มา: Chlorella: Are There Health Benefits? [1]

รูปแบบการบริโภคคลอเรลล่า

คลอเรลล่ามีให้เลือกหลายรูปแบบ เพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และวัตถุประสงค์ของแต่ละคน โดยแต่ละรูปแบบ มีข้อดีแตกต่างกัน สามารถเลือกใช้ ได้ตามความสะดวก ดังนี้

  • แบบเม็ดหรือแคปซูล เป็นรูปแบบที่พบได้ทั่วไป พกพาง่าย สะดวกในการรับประทาน และควบคุมปริมาณได้แน่นอน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานต่อเนื่องทุกวัน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่น หรือรสชาติของสาหร่าย
  • แบบผง สามารถนำไปผสมในน้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือโรยในอาหาร เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณเอง หรือใช้ในการปรุงอาหาร เพื่อสุขภาพ เช่นขนมคลีน
  • แบบสารสกัดเข้มข้น ในบางผลิตภัณฑ์ จะมีการสกัดคลอเรลล่า ให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึม และเสริมสารสำคัญบางชนิด นิยมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรเฉพาะ เช่นสูตรล้างสารพิษ หรือบำรุงสายตา
  • แบบผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรวม เช่นผสมกับสาหร่ายสไปรูลินา พรีไบโอติก ไฟเบอร์ หรือวิตามินรวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ หลายระบบในเวลาเดียวกัน เช่นดีท็อกซ์ บำรุงผิว หรือเสริมภูมิคุ้มกัน
  • รูปแบบชงดื่ม หรือเครื่องดื่มสำเร็จรูป บางแบรนด์ผลิต ในลักษณะพร้อมชง หรือพร้อมดื่ม มีรสชาติผสม เช่นน้ำผึ้ง มะนาว แอปเปิล เพื่อให้ดื่มง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นสาหร่าย

คลอเรลล่าในอาหารเสริมดีท็อกซ์

คลอเรลล่า ช่วยอะไร คลอเรลล่านิยมใช้ในอาหารเสริม เพื่อการดีท็อกซ์ เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่นในการจับสารพิษ ขับของเสียออกจากร่างกาย โลหะหนัก เช่นตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งมักสะสมในตับ ลำไส้ และเลือด เมื่อได้รับจากสิ่งแวดล้อม อาหาร หรือยา จะช่วยดึงสารพิษออก แล้วขับถ่ายผ่านลำไส้ ได้อย่างปลอดภัย

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีคลอเรลล่าในกลุ่มดีท็อกซ์ มักผสมร่วมกับสารอาหารอื่น ที่ส่งเสริมการขับถ่าย และฟื้นฟูร่างกาย เช่นไฟเบอร์จากพืช พรีไบโอติกส์ แมกนีเซียม ซิตรัสเพคติน หรือสารสกัดจากสาหร่ายอื่น เช่นสไปรูลินา หรือบาร์เลย์วีตกราส ซึ่งทั้งหมดนี้ ช่วยเสริมฤทธิ์กัน ในการล้างสารพิษ และบำรุงลำไส้

ในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง ระบบขับถ่ายไม่ดี หรือรู้สึกอ่อนล้าเรื้อรัง อาหารเสริมที่มีคลอเรลล่าเป็นส่วนประกอบ มักได้รับความนิยม เพราะนอกจากช่วยขับของเสียแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น เสริมภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูสมดุลระบบภายในโดยรวม

ข้อเสียของคลอเรลล่าคืออะไร?

  • อาการทางระบบทางเดินอาหาร ผู้ใช้บางราย มีอาการท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดท้อง หรือมีแก๊สในลำไส้ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการรับประทาน ​
  • อุจจาระมีสีเขียว การบริโภคคลอเรลล่า อาจทำให้อุจจาระมีสีเขียว ซึ่งเป็นผลจากปริมาณคลอโรฟิลล์สูง ในสาหร่ายชนิดนี้ ​
  • ปฏิกิริยาแพ้ บางรายอาจเกิดอาการแพ้ เช่นผื่นคัน หายใจลำบาก หรือแม้กระทั่งอาการแพ้รุนแรง (anaphylaxis) โดยเฉพาะผู้ที่แพ้ไอโอดีน หรือมีประวัติแพ้สาหร่าย ​
  • ผลกระทบ ต่อผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ คลอเรลล่าอาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ เช่นโรคลูปัส หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ​
  • ผลกระทบต่อผู้ใช้ยา ต้านการแข็งตัวของเลือด คลอเรลล่ามีวิตามิน K สูง ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่นวาร์ฟาริน (warfarin) ​
  • ข้อควรระวัง สำหรับหญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร แม้บางการศึกษาแนะนำว่าคลอเรลล่า อาจช่วยลดสารพิษในน้ำนมแม่ แต่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ ​
  • ความเสี่ยงจากการปนเปื้อน ผลิตภัณฑ์คลอเรลล่าบางชนิด อาจปนเปื้อนโลหะหนัก หรือสารพิษ หากผลิตโดยไม่มีมาตรฐานที่เหมาะสม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ที่เชื่อถือได้ ​

ที่มา: Health Benefits of Chlorella [2]

ภาพรวมของ สาหร่ายคลอเรลล่า

คลอเรลล่าเป็นสาหร่ายขนาดจิ๋ว ที่เต็มไปด้วยโปรตีน วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระหลากชนิด มีคุณสมบัติเด่น ในการช่วยดีท็อกซ์ ขับสารพิษ บำรุงลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูร่างกาย ปัจจุบันมีให้เลือกในหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบผงและแคปซูล อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ควรเลือกจากแหล่งผลิตที่ปลอดภัย

Chlorella กินตอนไหน?

  • รับประทานพร้อมมื้ออาหาร หรือหลังอาหาร การรับประทานคลอเรลล่า พร้อมอาหาร ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามิน ที่ละลายในไขมัน เช่นวิตามิน A และ D ได้ดีขึ้น ​
  • แบ่งรับประทานตลอดวัน สามารถแบ่งรับประทานคลอเรลล่า เป็นมื้อย่อยๆ ตลอดวัน เช่นเช้า กลางวัน เย็น เพื่อรักษาระดับพลังงาน และลดความเมื่อยล้า ​
  • หลังออกกำลังกาย การรับประทานคลอเรลล่า หลังออกกำลังกาย ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และลดการสะสมของกรดแลคติก ​
  • ก่อนนอน แม้คลอเรลล่าจะไม่ทำให้ง่วง แต่การรับประทานก่อนนอน สามารถช่วยในการดีท็อกซ์ร่างกาย ระหว่างการนอนหลับได้ ​

ที่มา: What is the Best Time to Take Chlorella? [3]

คลอเรลล่าเหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่ต้องการดีท็อกซ์ ล้างสารพิษ โลหะหนัก และของเสียในร่างกาย
  • ผู้ที่มีปัญหาท้องผูก หรือระบบขับถ่ายไม่ดี ต้องการปรับสมดุลลำไส้
  • ผู้ที่อยากเสริมภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูร่างกาย จากความอ่อนล้า หรือเจ็บป่วย
  • ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ หรือวีแกน ต้องการเสริมโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ
  • ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพผิว ลดความหมองคล้ำ และชะลอวัยจากภายใน
  • ผู้ที่ออกกำลังกาย ต้องการโปรตีนฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และลดการอักเสบ
  • ผู้ที่อยู่ในสภาวะมลภาวะสูง เช่นในเมืองใหญ่ หรือพื้นที่เสี่ยงสารเคมี
Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง