ไนอะซิน หรือวิตามินบี 3 กับการเสริมพลังงาน

ไนอะซิน

ไนอะซิน Niacin หรือที่รู้จักกันในชื่อวิตามินบี 3 เป็นสารอาหารสำคัญ ที่มีบทบาทสำคัญ ต่อสุขภาพของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างพลังงาน การดูแลสุขภาพหัวใจ และการสนับสนุนระบบประสาท บทความนี้จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับพื้นฐาน ของสารอาหารชนิดนี้ รวมถึงที่มา และบทบาทในร่างกายมนุษย์

ประวัติและการค้นพบ ไนอะซิน

ไนอะซินถูกค้นพบ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยนักวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับโรคเพลลากรา ซึ่งเป็นโรค ที่มีความเกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 3 ในยุคแรกๆ ไนอะซินถูกเรียกว่า “กรดนิโคตินิก” เนื่องจากโครงสร้างทางเคมี คล้ายคลึงกับนิโคตินในยาสูบ อย่างไรก็ตาม สารนี้ไม่ได้มีฤทธิ์เสพติดแต่อย่างใด

หลังจากการค้นพบ นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ระบุบทบาทของไนอะซิน ในกระบวนการเมตาบอลิซึม และการผลิตพลังงานในร่างกาย ซึ่งไนอะซินแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่

  • กรดนิโคตินิก (Nicotinic Acid) ใช้ในการลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
  • ไนอะซินาไมด์ (Nicotinamide) ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง จากการขยายหลอดเลือด และมักใช้เพื่อการบำรุงผิวพรรณ และรักษาโรคบางชนิด

แหล่งอาหารที่มี ไนอะซิน สูง

ไนอะซิน

ไนอะซินเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ร่างกายต้องการ แหล่งอาหารที่มีไนอะซินสูง พร้อมปริมาณต่อหน่วยบริโภค มีดังนี้

  • อกไก่: อกไก่ปรุงสุก 3 ออนซ์ (ประมาณ 85 กรัม) มีไนอะซินประมาณ 8.9 มิลลิกรัม
  • เนื้อวัวไม่ติดมัน: เนื้อวัวไม่ติดมันปรุงสุก 3 ออนซ์ มีไนอะซินประมาณ 7.6 มิลลิกรัม
  • ปลาทูน่า: ปลาทูน่าปรุงสุก 3 ออนซ์ มีไนอะซินประมาณ 11.3 มิลลิกรัม
  • ถั่วลิสง: ถั่วลิสง 1 ถ้วย (ประมาณ 146 กรัม) มีไนอะซิน 21.9 มก.
  • ข้าวกล้อง: ข้าวกล้องปรุงสุก 1 ถ้วย มีไนอะซิน 2.98 มก.
  • เห็ด: เห็ดปรุงสุก 1 ถ้วย มีไนอะซิน 7.6 มก.
  • ตับ: ตับสัตว์ปรุงสุก 1 ชิ้น มีไนอะซินที่ประมาณ 11.9 mg.
  • เมล็ดทานตะวัน: เมล็ดทานตะวัน 1 ถ้วย มีไนอะซินที่ประมาณ 3.8 mg.
  • Avocado: avocado 1 ผล มีไนอะซินที่ประมาณ 3.5 mg.

การบริโภคอาหารเหล่านี้ สามารถช่วยให้ร่างกาย ได้รับไนอะซิน ในปริมาณที่เพียงพอ ต่อความต้องการในแต่ละวัน โดยปริมาณไนอะซิน ที่แนะนำต่อวันคือเด็กควรได้รับ 6-12 มิลลิกรัมต่อวันและผู้ใหญ่เพศชาย 16 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ใหญ่เพศหญิง 14 มิลลิกรัม สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร 17-18 มิลลิกรัม/ต่อวัน

ประโยชน์ของ ไนอะซิน ต่อสุขภาพ

  • ส่งเสริมการทำงาน ของระบบประสาท ไนอะซินช่วยในการสร้างสารเคมีในสมอง ที่สำคัญต่อการควบคุมอารมณ์ และความจำ
  • บำรุงสุขภาพผิวพรรณ ไนอะซินาไมด์ ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และรักษาสิว
  • ดูแลสุขภาพหัวใจ ลดระดับคอเลสเตอรอล LDL และเพิ่มระดับ HDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดี
  • ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน มีบทบาทในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • ไนอะซินช่วยในกระบวนการ Metabolism ของอาหาร มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีนให้เป็นพลังงาน โดยทำหน้าที่เป็น coenzyme ในปฏิกิริยาเคมีสำคัญภายในเซลล์
  • สร้างพลังงานระดับเซลล์ (ATP) ไนอะซินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิต NAD (Nicotinamide Adenine Dinucleotide) และ NADP (Nicotinamide Adenine Dinucleotide Phosphate) ซึ่งเป็นสาระสำคัญ ในกระบวนการผลิตพลังงาน (ATP) ภายใน Mitochondria
  • กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น นำออกซิเจน และสารอาหาร ไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย อย่างมีประสิทธิภาพ
    เสริมการทำงาน ของระบบประสาท ไนอะซินช่วยบำรุงระบบประสาท และสมอง ลดความอ่อนเพลีย และเพิ่มความตื่นตัวของร่างกาย
  • ลดความเหนื่อยล้า การได้รับไนอะซินเพียงพอ ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย ที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานต่ำ

การทาน ไนอะซิน ควรทานตอนไหน

การรับประทานไนอะซิน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือเภสัชกร เนื่องจากปริมาณ และเวลาที่เหมาะสม อาจแตกต่างกันไป ตามวัตถุประสงค์ในการใช้ และสภาวะสุขภาพ ของแต่ละบุคคล

หากแพทย์สั่งไนอะซิน เพื่อรักษาภาวะไขมันในเลือดสูง มักแนะนำให้รับประทานก่อนนอน โดยเริ่มต้นที่ขนาด 500 มิลลิกรัมต่อวัน และอาจปรับเพิ่มขึ้น ตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ควรรับประทานไนอะซิน พร้อมกับอาหาร

สำหรับการใช้ไนอะซิน ในรูปแบบอาหารเสริมทั่วไป ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ บนฉลากผลิตภัณฑ์ หรือปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนการใช้ และไนอะซินสามารถทานร่วมอาหารเสริมอื่นๆได้เช่น โครเมียม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และส่งเสริมการเผาผลาญไขมัน [1]

การบริโภค ไนอะซิน อันตรายไหม

การบริโภคไนอะซิน ในปริมาณที่เหมาะสม ตามที่ร่างกายต้องการ จะไม่เป็นอันตราย แต่ควรหลีกเลี่ยง การรับประทาน ในปริมาณที่มากเกินไป โดยไม่ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร หากได้รับไนอะซิน ในปริมาณมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวัน อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น

  • อาการหน้าแดง (Niacin Flush)
  • คลื่นไส้ หรือปวดท้อง
  • การทำลายตับ ในกรณีที่รับประทานปริมาณสูง เป็นเวลานาน
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์ เนื่องจากการเพิ่มระดับ uric acid ในเลือด

ที่มา: วิตามินบี 3 [2]

 

โรคใดเกิดจากการขาด ไนอะซิน

การขาดไนอะซิน ทำให้เกิดโรค Pellagra ซึ่งมีอาการหลัก 3 ประการที่เรียกว่า “3D” ได้แก่

  • Dermatitis (ผิวหนังอักเสบ): ผิวหนังบริเวณที่ถูกแสงแดด มักจะแดง ลอก และหนาตัวขึ้น
  • Diarrhea (ท้องเสีย): มีอาการท้องเสียเรื้อรัง
  • Dementia (ภาวะสมองเสื่อม): มีอาการสับสน ความจำเสื่อม และอาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อม

หากไม่ได้รับการรักษา อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ สาเหตุของการขาดไนอะซิน อาจเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไนอะซิน หรือทริปโตเฟนไม่เพียงพอ หรือเกิดจากปัญหา การดูดซึมสารอาหาร ในระบบย่อยอาหาร การรักษามักประกอบด้วยการให้ไนอะซินเสริม และปรับปรุงโภชนาการ [3]

สรุป ไนอะซิน วิตามินเสริมพลังงาน บำรุงหัวใจ

ไนอะซินเป็นวิตามิน ที่มีบทบาทสำคัญ ต่อสุขภาพในหลายด้าน ทั้งการเสริมสร้างพลังงาน การบำรุงหัวใจ และการดูแลผิวพรรณ อย่างไรก็ตาม ควรได้รับไนอะซิน ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง การรับประทานอาหาร ที่มีไนอะซินสูง หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุด จากไนอะซินได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน
Picture of Wellness Whisperer
Wellness Whisperer

แหล่งอ้างอิง