วิตามินเอ สารอาหารเสริมสุขภาพดวงตา

วิตามินเอ

วิตามินเอ เป็นหนึ่งในสารอาหาร ที่จำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก ในวงการสุขภาพ และโภชนาการ ด้วยบทบาทสำคัญ ในการส่งเสริมสุขภาพดวงตา ระบบภูมิคุ้มกัน และผิวพรรณ บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึก เกี่ยวกับวิตามินเอ เพื่อเป็นแนวทาง ในการดูแลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ

วิตามินเอ คืออะไร มีกี่รูปแบบหลัก

วิตามินเอ

วิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีบทบาทสำคัญ ต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย สามารถแบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลัก ได้แก่

  • เรตินอยด์ (Retinoids) ที่พบในอาหารที่มาจากสัตว์ เช่นตับ นม ไข่ ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที
  • แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) พบในผัก และผลไม้ที่มีสีสันสดใส เช่นแครอท ฟักทอง และมะม่วง ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้

วิตามินเอ ช่วยอะไรเกี่ยวกับตา

  • วิตามินเอช่วยในการมองเห็นในที่มืด (Night Vision) ซึ่งวิตามินเอเป็นส่วนประกอบสำคัญ ของโปรตีน Rhodopsin ที่อยู่ในเซลล์รับแสง ของจอประสาทตา (Retina) โรดอปซินช่วยตรวจจับแสง และส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้มองเห็นภาพ ในสภาวะที่มีแสงน้อยได้ดี
  • ลดความเสี่ยงของภาวะตาแห้ง (Dry Eyes) วิตามินเอช่วยในการผลิตน้ำตา และเมือก ที่จำเป็นต่อการรักษาความชุ่มชื้น ของดวงตา ป้องกันอาการตาแห้ง หรืออักเสบของเยื่อบุตา (Conjunctiva)
  • ลดความเสี่ยงของโรค Xerophthalmia ซึ่งเป็นภาวะตาแห้งรุนแรง ที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร
    ป้องกันโรคต้อกระจก (Cataracts) วิตามินเอมีคุณสมบัติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยลดความเสียหาย ของเซลล์ในเลนส์ตา ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ป้องกันการเสื่อมของโปรตีนในเลนส์ตา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ของโรคต้อกระจก
  • ชะลอความเสื่อม ของจอประสาทตาตามอายุ (AMD) วิตามินเอช่วยปกป้องเซลล์ ในจอประสาทตา จากการทำลายของแสง UV และอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรค จอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (Age-related Macular Degeneration – AMD) ซึ่งเป็นสาเหตุ ของการตาบอด ในผู้สูงอายุ
  • สนับสนุนการเจริญเติบโต และซ่อมแซมเนื้อเยื่อตา วิตามินเอมีบทบาทสำคัญ ในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ และการซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ในดวงตา ช่วยให้แผลในดวงตาหายเร็วขึ้น และเสริมสร้างสุขภาพของเยื่อบุตา
  • ป้องกันการติดเชื้อที่ตา วิตามินเอช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ดวงตาต้านทานการติดเชื้อได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการอักเสบ และการติดเชื้อ ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส

ที่มา: Vitamin A and Carotenoids [1]

 

ประโยชน์ของ วิตามินเอ ในด้านอื่นๆ

  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินเอช่วยกระตุ้นการทำงาน ของเซลล์เม็ดเลือดขาว (T-cells) ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ในการป้องกันเชื้อโรค และการติดเชื้อ ลดความเสี่ยง ของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร
  • บำรุงผิวพรรณ และเนื้อเยื่อ ช่วยซ่อมแซม และบำรุงเซลล์ผิวหนัง ให้มีสุขภาพดี ป้องกันการแห้ง แตก ลอก หรือหยาบกร้านของผิวหนัง ลดเลือนริ้วรอย และช่วยสมานแผล
  • ส่งเสริมสุขภาพกระดูกและฟัน วิตามินเอช่วยในการเจริญเติบโต และการพัฒนาของกระดูกและฟัน เสริมความแข็งแรงของเคลือบฟัน และลดความเสี่ยง ของโรคกระดูกพรุน
  • ส่งเสริมระบบสืบพันธุ์ ช่วยในกระบวนการผลิตสเปิร์มในผู้ชาย และสนับสนุนสุขภาพ ของระบบสืบพันธุ์ในผู้หญิง และจำเป็นสำหรับการพัฒนา ของตัวอ่อนในครรภ์
  • ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ และเนื้อเยื่อ ช่วยในกระบวนการแบ่งตัว และพัฒนาเซลล์ใหม่ เช่นเซลล์ผิวหนัง ผม และเยื่อบุผิว มีบทบาทสำคัญ ต่อการพัฒนาเนื้อเยื่อในเด็ก และทารก
  • ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) วิตามินเอในรูปของ เบต้าแคโรทีน ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ และความเสียหายของเซลล์ ช่วยลดความเสี่ยง ของโรคเรื้อรัง เช่นโรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด
  • ส่งเสริมการสมานแผล วิตามินเอมีบทบาทสำคัญ ในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ ที่เสียหาย และลดการเกิดแผลเป็น ช่วยให้แผลสมานตัวเร็วขึ้น
  • ช่วยควบคุมการสร้างฮอร์โมน และการทำงานของต่อมไทรอยด์ สนับสนุนการทำงานของต่อมไทรอยด์ ที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญในร่างกาย

สามารถกิน วิตามินเอ ทุกวันได้ไหม

วิตามินเอสามารถรับประทานได้ทุกวัน หากอยู่ในปริมาณที่แนะนำต่อวัน ตามที่กำหนด อย่างไรก็ตาม การบริโภควิตามินเอ ในปริมาณที่มากเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะพิษจากวิตามินเอ (Vitamin A toxicity) ซึ่งมีอาการเช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ หรือแม้กระทั่งเกิดความเสียหายต่อตับ ในระยะยาว

ดังนั้นควรตรวจสอบปริมาณ การบริโภคในแต่ละวัน และเลือกแหล่งอาหารธรรมชาติเป็นหลัก หากมีความจำเป็นต้องเสริมอาหาร ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ โดยปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ เด็กควรทาน 300-600 ไมโครกรัม ผู้ใหญ่ 700-900 ไมโครกรัม หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร 770-1300 ไมโครกรัม [2]

การขาด วิตามินเอ จะมีอาการอย่างไร

การขาดวิตามินเอ ส่งผลต่อสุขภาพหลายด้าน โดยเฉพาะเกี่ยวกับดวงตา และระบบภูมิคุ้มกัน ดังนี้

  • ปัญหาการมองเห็น ตาบอดกลางคืน (Night Blindness) เกิดจากการขาดสารโรดอปซิน ที่จำเป็นต่อการมองเห็นในที่มืด ทำให้การมองเห็นลดลง เมื่ออยู่ในที่แสงน้อย
  • ตาแห้ง (Xerophthalmia) เกิดจากการผลิตน้ำตาลดลง ทำให้ตาแห้งและระคายเคือง หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่การอักเสบของเยื่อบุตา
  • แผลที่กระจกตา (Bitot’s Spots) เป็นจุดสีขาวขุ่นบนเยื่อบุตา ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้น ของความเสียหายที่กระจกตา
  • กระจกตาเป็นแผล และขุ่นมัว (Keratomalacia) ในกรณีรุนแรง การขาดวิตามินเอ อาจทำให้กระจกตานุ่มลง จนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นถาวร
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ วิตามินเอช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว การขาดวิตามินเอ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่นโรคระบบทางเดินหายใจ และโรคทางเดินอาหาร
  • ผิวหนังแห้ง และหยาบกร้าน วิตามินเอมีบทบาท ในการบำรุงเซลล์ผิวหนัง และเยื่อบุผิว การขาดวิตามินเออาจทำให้ผิวแห้ง ลอก หรือเกิดอาการคัน
  • การเจริญเติบโตล่าช้าในเด็ก วิตามินเอจำเป็น ต่อการพัฒนาเซลล์และเนื้อเยื่อ หากขาดอาจทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตต่ำกว่าเกณฑ์
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ การขาดวิตามินเอ อาจทำให้ระบบสืบพันธุ์มีปัญหา เช่นภาวะมีบุตรยาก ในทั้งชายและหญิง
  • เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในเด็ก เด็กที่ขาดวิตามินเอ มีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย

ที่มา: What Is Vitamin A Deficiency [3]

ข้อแนะนำ ข้อควรระวัง ในการทานวิตามินเอ

ข้อแนะนำในการรับประทานวิตามินเอ

  • เลือกแหล่งอาหารธรรมชาติ รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอจากธรรมชาติ หากเลือกเสริมอาหาร ควรเลือกในรูปของ เบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอเมื่อจำเป็น ทำให้ลดความเสี่ยง ต่อการได้รับวิตามินเอเกินขนาด
  • การดูดซึม และการทานคู่กับอาหาร วิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ควรรับประทาน พร้อมอาหารที่มีไขมันดี เช่นน้ำมันมะกอก เพื่อเพิ่มการดูดซึม

ข้อควรระวังในการรับประทานวิตามินเอ

  • พิษจากวิตามินเอ (Vitamin A Toxicity) การได้รับวิตามินเอ จากอาหารเสริมมากเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะพิษทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่นคลื่นไส้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ผมร่วง ผิวลอก ปวดกระดูก และอาจเกิดความเสียหายต่อตับ
  • ผลกระทบต่อสตรีมีครรภ์ การได้รับวิตามินเอในปริมาณที่มากเกินไป ในช่วงตั้งครรภ์ อาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อความผิดปกติของทารกในครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนรับประทานอาหารเสริม
  • การเกิดปฏิกิริยากับยา วิตามินเออาจมีปฏิกิริยากับยา เช่นเรตินอยด์ หรือยารักษาสิว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อพิษจากวิตามินเอ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานเกินขนาด ปริมาณสูงสุดที่ปลอดภัยต่อวัน ผู้ใหญ่อยู่ที่ 3,000 ไมโครกรัม RAE/วัน การเกินขนาดในระยะยาว อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพตับ และกระดูก

สรุป วิตามินเอ สารอาหารสำคัญ ช่วยการมองเห็น

วิตามินเอเป็นสารอาหารสำคัญ ที่มีบทบาทหลากหลายต่อสุขภาพ ทั้งในด้านการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพผิวพรรณ การได้รับวิตามินเอในปริมาณที่เหมาะสม จากแหล่งอาหารธรรมชาติ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพ แต่การเสริมอาหารเพิ่มเติม ควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน
Picture of Wellness Whisperer
Wellness Whisperer

แหล่งอ้างอิง