Peppermint Oil คือ อะไร ประโยชน์ต่อลำไส้

Peppermint Oil คือ

Peppermint Oil คือ น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันหอมระเหย ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ไม่เพียงแต่ให้กลิ่นที่หอมเย็นสดชื่น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ตั้งแต่การบรรเทาอาการปวดหัว ไปจนถึงการช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร และสุขภาพลำไส้

ที่มา Peppermint Oil คือ อะไร?

Peppermint Oil คือ

น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ เป็นน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากใบของ เปปเปอร์มิ้นต์ (Mentha piperita) ซึ่งเป็นพืชในตระกูลมิ้นต์ (Lamiaceae) มีลักษณะเด่น คือกลิ่นหอมเย็น สดชื่น และมีสารสำคัญ เช่นเมนทอล (Menthol) และ เมนโทน (Menthone) ซึ่งให้ความเย็น และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

เปปเปอร์มิ้นต์เป็นพืชลูกผสม ที่เกิดจากการรวมตัวของ สเปียร์มิ้นต์ และวอเทอร์มิ้นต์ เปปเปอร์มิ้นต์ ถูกค้นพบครั้งแรกในยุโรป และมีการใช้ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ (1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) มีหลักฐานการใช้เปปเปอร์มิ้นต์ในกรีก และโรมันโบราณ เพื่อบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และการรักษาโรคต่างๆ

ในปัจจุบัน น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ถูกผลิตในหลายประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ญี่ปุ่น และอินเดีย โดยนิยมใช้ในอุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง และอาหารเสริม เนื่องจากมีคุณสมบัติ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน

องค์ประกอบน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์

น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ มีสารประกอบทางเคมี ที่สำคัญหลายชนิด ซึ่งให้คุณสมบัติเย็นสดชื่น และประโยชน์ทางยา โดยองค์ประกอบหลัก ได้แก่

  • เมนทอล (Menthol) – 30-50% เป็นสารออกฤทธิ์หลัก ที่ให้ความเย็นสดชื่น มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยขยายหลอดลม ทำให้หายใจสะดวกขึ้น กระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร และบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน (IBS)
    เมนโทน (Menthone) – 10-30% ให้กลิ่นหอมเย็นของเปปเปอร์มิ้นต์ มีฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยต้านการอักเสบ และลดอาการปวดกล้ามเนื้อ
  • 1,8-ซิเนออล (1,8-Cineole) – 3-10% มีคุณสมบัติช่วยเปิดโพรงจมูก และบรรเทาอาการคัดจมูก ต้านเชื้อแบคทีเรีย และไวรัส ช่วยลดเสมหะ และบรรเทาอาการไอ
  • ไอโซเมนโทน (Isomenthone) – 2-10% มีบทบาทเสริมฤทธิ์ของเมนโทน ในการให้กลิ่นหอมเย็น มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
  • ลิโมนีน (Limonene) – 1-5% มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ระบบทางเดินอาหาร ทำงานได้ดีขึ้น
  • เบต้า-พีเนน (β-Pinene) และ อัลฟ่า-พีเนน (α-Pinene) – 1-3% มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยลดความเครียด และความวิตกกังวล
  • คาร์โวน (Carvone) – 0.1-1% มีฤทธิ์กระตุ้นการย่อยอาหาร และบรรเทาอาการท้องอืด พบมากในสเปียร์มิ้นต์ ซึ่งเป็นพืชที่เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมของเปปเปอร์มิ้นต์

น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ช่วยอะไร?

  • ช่วยบรรเทาอาการทางระบบย่อยอาหาร และสุขภาพลำไส้ โดยเฉพาะอาการลำไส้แปรปรวน การทดลองพบว่าสารเมนทอล สามารถช่วยลดอาการเกร็งของลำไส้ ลดอาการปวดท้อง ท้องอืด และช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ นอกจากนี้ ยังช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อน และช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
  • คุณสมบัติต้านการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรีย น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ซึ่งสามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ ในระบบทางเดินอาหาร และยังช่วยลดอาการอักเสบ ของลำไส้ที่อาจเกิดจากการติดเชื้อ หรืออาหารไม่ย่อย
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ และไมเกรน การสูดดมน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ และไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ลดอาการตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น
  • ลดอาการหวัด และช่วยบรรเทาทางเดินหายใจ เมนทอลในน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ มีคุณสมบัติช่วยเปิดโพรงจมูก ลดน้ำมูก และช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น จึงนิยมใช้ในการสูดดมเมื่อเป็นหวัด หรือใช้ในยาละลายเสมหะ
  • เพิ่มความสดชื่น และช่วยบำรุงสุขภาพช่องปาก เปปเปอร์มิ้นต์เป็นส่วนประกอบหลักในยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และหมากฝรั่ง เนื่องจากมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ลดกลิ่นปาก และให้ความรู้สึกสะอาดสดชื่น

ที่มา: Peppermint-Oil Uses and Benefits [1]

 

การใช้เพื่อเสริมสุขภาพลำไส้

  • บรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน (IBS – Irritable Bowel Syndrome) น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ได้รับการวิจัย เกี่ยวกับผลกระทบ ต่อผู้ที่มีภาวะลำไส้แปรปรวน โดยพบว่าสารเมนทอลในน้ำมัน สามารถช่วยลดอาการเกร็งของลำไส้ ลดอาการปวดท้อง ท้องอืด และช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ
  • ช่วยลดอาการแน่นท้อง และการสะสมของแก๊สในทางเดินอาหาร การศึกษาหลายฉบับ แสดงให้เห็นว่า แคปซูลน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์แบบเคลือบ (Enteric-coated capsules) สามารถช่วยบรรเทาอาการของ IBS ได้โดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่นการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  • ลดอาการอาหารไม่ย่อยและท้องอืด น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์สามารถช่วยกระตุ้น การย่อยอาหาร และลดอาการแน่นท้องได้ โดยทำให้กล้ามเนื้อของกระเพาะอาหาร และลำไส้ทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยให้กระเพาะอาหารเคลื่อนย้ายอาหาร ลงสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น กระตุ้นการผลิตน้ำดี ซึ่งช่วยในการย่อยไขมัน
  • ช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อน แม้ว่าน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ จะช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อน (GERD) ควรใช้อย่างระมัดระวัง การใช้แคปซูลแบบเคลือบ (Enteric-coated) สามารถช่วยลดความเสี่ยง ของการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และทำให้น้ำมันออกฤทธิ์ที่ลำไส้โดยตรง
  • ฤทธิ์ต้านจุลชีพ และปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์มีคุณสมบัติ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ที่อาจเป็นสาเหตุของปัญหาลำไส้ เช่นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดแก๊ส และอาการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นแบคทีเรีย ที่เกี่ยวกับแผลในกระเพาะอาหาร ลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ไม่ดีในลำไส้

น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ปริมาณแนะนำ

  • สำหรับลำไส้แปรปรวน 180-200 มก. ต่อวัน (ควรใช้แคปซูลเคลือบแบบ Enteric-coated)
  • สำหรับอาการอาหารไม่ย่อย 90-200 มก. รับประทานก่อนอาหาร 30-60 นาที
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานพร้อมอาหาร เนื่องจากอาจลดประสิทธิภาพ ของน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ ในการทำงานที่ลำไส้

ใครไม่ควรใช้น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์?

แม้ว่าน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะ หรือเงื่อนไขทางสุขภาพ ดังนี้

  • ผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อน น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์สามารถทำให้กล้ามเนื้อหูรูด ของหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower Esophageal Sphincter) คลายตัว ซึ่งอาจทำให้กรดในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนกลับขึ้นมา และทำให้อาการแย่ลง ผู้ที่มีปัญหานี้ควรหลีกเลี่ยง หรือลองใช้แคปซูลเคลือบพิเศษ ที่ออกฤทธิ์ในลำไส้แทน
  • เด็กเล็กและทารก น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์อาจก่อให้เกิดปัญหาทางเดินหายใจ ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง และเยื่อบุโพรงจมูก ไม่ควรใช้น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์แบบเข้มข้นกับเด็กเล็กโดยตรง
  • หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ยังไม่มีหลักฐานที่ระบุว่าน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ ปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ อาจทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อในมดลูก ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร สำหรับหญิงให้นมบุตร น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ อาจส่งผลต่อการผลิตน้ำนม
  • ผู้ที่มีโรคนิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones) น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์สามารถกระตุ้นการหลั่งน้ำดี ซึ่งอาจทำให้อาการของผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีแย่ลง
  • ผู้ที่มีภาวะตับ และไตเสื่อม น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์อาจเพิ่มภาระการทำงานของตับและไต เนื่องจากมีสารออกฤทธิ์ ที่ต้องถูกเผาผลาญ และขับออกทางไต ผู้ที่มีโรคตับหรือไตเสื่อมควรหลีกเลี่ยง หรือลดขนาดการใช้
  • ผู้ที่แพ้หรือไวต่อสารเมนทอล บางคนอาจแพ้สารเมนทอล ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลัก ของน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ อาจเกิดอาการแพ้ เช่นผื่นคัน บวม หรือระคายเคืองทางเดินหายใจ
  • ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์อาจมีปฏิกิริยากับยา เช่นยาลดกรด (Antacids) อาจทำให้แคปซูลเคลือบแตกตัวเร็วเกินไป ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออก ยารักษาโรคเบาหวาน อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง

สรุป น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ดีต่อลำไส้

น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์เป็นน้ำมันหอมระเหย ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย ทั้งช่วยบรรเทาอาการทางเดินอาหาร บำรุงสุขภาพลำไส้ ช่วยลดอาการลำไส้แปรปรวน ไปจนถึงช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ และช่วยให้ระบบหายใจทำงานได้ดีขึ้น หากต้องการดูแลสุขภาพลำไส้ น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ

Peppermint-Oil กินตอนไหน?

  • รับประทาน ก่อนอาหาร 30-60 นาที เพื่อให้แคปซูลเข้าสู่ลำไส้เล็ก ก่อนที่จะถูกย่อยในกระเพาะอาหาร
  • ไม่ควรเคี้ยวแคปซูลน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ เพราะเปลือกแคปซูล ถูกออกแบบให้ปล่อยสารออกฤทธิ์ที่ลำไส้
  • ควรดื่มน้ำเต็มแก้ว (ประมาณ 250 มล.) พร้อมแคปซูลน้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานพร้อมอาหาร เพราะอาจลดประสิทธิภาพของยา
  • หากลืมรับประทาน ให้ข้ามไปยังมื้อถัดไป ห้ามรับประทาน 2 เท่าของขนาดที่กำหนด

ที่มา: Peppermint-oil benefits, dosage & more [2]

 

วิธีใช้น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์ให้ได้ผลดี

น้ำมันเปปเปอร์มิ้นต์สามารถใช้ได้หลายวิธี เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการสูดดม ทาผิว และรับประทาน

  • สูดดม ใช้กับเครื่องพ่นไอน้ำ หรือหยดลงบนผ้าเช็ดหน้า เพื่อช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก และเพิ่มความสดชื่น
  • ทาผิว ควรเจือจางกับน้ำมันตัวอื่น เพื่อลดอาการระคายเคือง สามารถใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือปวดศีรษะ
  • ดื่ม ผสมลงในชาสมุนไพร น้ำร้อน หรือน้ำเย็น หรือใช้ถุงชาเปปเปอร์มิ้นต์ เพื่อช่วยย่อยอาหาร
  • แคปซูลเสริมอาหาร ใช้เพื่อบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน หรือช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร

ที่มา: Peppermint-oil benefits, dosage & more [3]

 

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง