พามารู้จัก แนวทางกิน Intermittent Fasting

แนวทางกิน Intermittent Fasting

แนวทางกิน Intermittent Fasting เป็นหนึ่งในวิธี ที่หลายคนเริ่มหันมาสนใจ ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะเป็นวิธีการดูแลร่างกายที่ดี ไม่ได้อาศัยเพียงการลดแคลอรีเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึงรูปแบบการกิน ที่ส่งผลต่อฮอร์โมน ระบบการย่อย และความสมดุลภายในร่างกาย

  • Intermittent-Fasting คืออะไร?
  • ประโยชน์ของการทำไอเอฟ
  • งานวิจัยเกี่ยวกับการทำไอเอฟ

รูปแบบ Intermittent-Fasting คืออะไร?

IF คือรูปแบบการกิน ที่กำหนดช่วงเวลากิน และงดกินอย่างชัดเจน โดยไม่ได้ระบุว่าควรกินอะไร แต่เน้นว่าเมื่อไรควรกิน หลักการสำคัญคือ การให้ร่างกาย ได้มีช่วงเวลาที่ไม่ต้องทำงานหนัก กับการย่อยอาหาร

ซึ่งอาจช่วยให้ระบบภายในฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของฮอร์โมน ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมัน เช่นอินซูลิน และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

ประโยชน์ของการทำไอเอฟคืออะไร?

  • ช่วยในการ ควบคุมน้ำหนัก การจำกัดช่วงเวลากินทำให้ลดโอกาสในการรับแคลอรีส่วนเกิน โดยเฉพาะมื้อว่างและของหวานในตอนกลางคืน นอกจากนี้ยังส่งผลต่อระดับอินซูลิน ทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
  • เพิ่มประสิทธิภาพ ระบบเผาผลาญ ระหว่างช่วงที่อดอาหาร ระดับอินซูลินจะลดลง ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายดึงพลังงานจากไขมันสะสมมาใช้มากขึ้น
  • ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าไอเอฟ อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และลดการอักเสบในร่างกาย
  • เพิ่มระดับโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ฮอร์โมนนี้ มีบทบาทสำคัญ ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้ดีขึ้น โดยพบว่าไอเอฟ ช่วยกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมนตามธรรมชาติ

วิธีการทำไอเอฟมีกี่รูปแบบ?

  • Time‑Restricted Eating (เช่น 16/8 หรือ 14/10) 16/8: อดอาหาร 16 ชั่วโมง กินได้ 8 ชั่วโมง เช่น กินตั้งแต่กลางวันถึงช่วงเย็น 14/10: อด 14 ชั่วโมง กินได้ 10 ชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
  • Fast‑5 (19/5 หรือ 18/6) งดอาหาร 19 ชั่วโมง กินในช่วง 5 ชั่วโมง เช่น สูตร Lean Gains แต่เวลาอดยาวกว่า (หรือปรับเป็น 18/6 เมื่อยากเกินไป)
  • Eat‑Stop‑Eat งดอาหารเต็มวัน 24 ชั่วโมง 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วกินตามปกติในวันอื่น
  • 5:2 Diet กินตามปกติ 5 วัน และจำกัดแคลอรี 500–600 แคลอรีในอีก 2 วัน ไม่จำเป็นต้องอดทั้งวัน
  • Alternate‑Day Fasting (ADF) วันเว้นวัน: วันหนึ่งกินตามปกติ วันถัดไปอดหรือกินแค่ประมาณ 25% ของแคลอรีปกติ
  • Warrior Diet (Omad แบบกลางคืน) งดอาหารในช่วงกลางวัน (19–20 ชั่วโมง) แล้วกินอาหารมื้อใหญ่เพียงมื้อเดียวตอนเย็น

ที่มา: วิธีลดน้ำหนักแบบ IF คืออะไร [1]

งานวิจัยเกี่ยวกับการทำไอเอฟ

จากการศึกษาพบว่าไอเอฟ สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ประมาณ 3–8% ภายในไม่กี่สัปดาห์ โดยเฉพาะ ในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับอินซูลินในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ในการเผาผลาญไขมัน และอาจช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นในบางด้าน เช่นลดการอักเสบ หรือควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น

แม้ว่าไอเอฟจะได้ผลดี แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบ กับการควบคุมแคลอรีแบบปกติ (กินน้อยลงตลอดวัน) ก็พบว่า ให้ผลใกล้เคียงกัน ในการลดน้ำหนัก และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ได้มีข้อได้เปรียบชัดเจนมากนักไอเอฟจึงอาจเหมาะกับคนที่ชอบควบคุมเวลาในการกิน มากกว่าการนับแคลอรี

แม้ว่าผลการทดลองในสัตว์ จะบ่งชี้ว่าไอเอฟ อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่นเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็ง แต่สำหรับมนุษย์ ยังมีงานวิจัยระยะยาวไม่เพียงพอ ไอเอฟจึงยังถือว่าเป็นแนวทางที่มีศักยภาพ แต่ไม่ใช่ทางออก ที่เหมาะสำหรับทุกคน จำเป็นต้องพิจารณาตามสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลด้วย [2]

ใครที่เหมาะกับการทำไอเอฟ?

  • ผู้ที่มีวินัยในการกิน และสามารถควบคุมความหิวได้ดี
  • ผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ ด้านระบบเผาผลาญ หรือระดับน้ำตาลในเลือด
  • ผู้ที่มีเป้าหมายลดน้ำหนัก หรือควบคุมระดับไขมันในเลือด
  • ผู้ที่ไม่ตั้งครรภ์ หรือไม่ได้ให้นมบุตร

ใครที่ไม่ควรทำไอเอฟ?

  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ หรือโรคเรื้อรังที่ควบคุมไม่ดี กลุ่มนี้อาจมีความเสี่ยง จากการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือด หรือความดันโลหิตอย่างรวดเร็ว ระหว่างการอดอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียน เป็นลม หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • หญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร ร่างกายของคุณแม่ ต้องการพลังงาน และสารอาหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อการเจริญเติบโตของทารก และการผลิตน้ำนม การงดอาหารเป็นช่วงเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของทารก หรือปริมาณน้ำนม
  • เด็กและวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี ช่วงวัยนี้ต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วน และเพียงพอเพื่อการเจริญเติบโตของร่างกาย และสมอง ไอเอฟอาจทำให้ขาดพลังงาน หรือวิตามินบางชนิด ที่จำเป็นต่อการพัฒนา
  • ผู้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน หรืออยู่ในภาวะขาดสารอาหาร การจำกัดเวลาการกินในกลุ่มนี้ อาจทำให้น้ำหนักลดลงมากเกินไป และส่งผลต่อการทำงาน ของระบบต่างๆในร่างกาย เช่นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบฮอร์โมน หรือสมอง
  • ผู้ที่มีความผิดปกติ ด้านพฤติกรรมการกินเช่น Anorexia หรือ Bulimia ไอเอฟอาจไปกระตุ้นอาการผิดปกติ ที่มีอยู่แล้ว หรือทำให้เกิดความหมกมุ่น กับการควบคุมอาหารมากขึ้น จนกระทบต่อสุขภาพจิต และร่างกาย
  • ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ กลุ่มนี้อาจมีการเผาผลาญต่ำ หรือระบบการทำงานของร่างกายลดลง การงดอาหาร อาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อภาวะขาดสารอาหาร กล้ามเนื้อลีบ
  • ผู้ที่ยังไม่มีความเข้าใจ วิธีทำไอเอฟอย่างถูกต้อง หรือทำตามกระแสนิยม โดยไม่ศึกษาก่อน การทำไอเอฟโดยไม่รู้หลักการ เช่นการกินอาหารที่ไม่มีคุณค่า ในช่วงเวลาที่กิน หรืออดอาหารนานเกินไป อาจทำให้ร่างกายขาดสมดุล และเกิดผลเสีย มากกว่าผลดี

ที่มา: กินดีสุขภาพดีแบบ IF Intermittent-Fasting [3]

บทสรุป แนวทางกิน Intermittent-Fasting

แนวทางกิน Intermittent Fasting

ไอเอฟไม่ใช่เพียงแค่การอดอาหาร เพื่อหวังผลในการลดน้ำหนักเท่านั้น แต่เป็นแนวทางการกิน ที่สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว หากปฏิบัติอย่างถูกต้อง การดูแลร่างกายที่ดี ต้องมาพร้อมกับโภชนาการที่สมดุล ความเข้าใจในหลักการ และการฟังเสียงของร่างกายตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญ

วัยทำงานเลือกไอเอฟ แบบไหนดี?

สำหรับวัยทำงาน ที่มีเวลาจำกัด และต้องการ ควบคุมน้ำหนัก หรือดูแลสุขภาพ แนะนำให้เริ่มต้นด้วยไอเอฟแบบ 16/8 ซึ่งเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยสามารถงดอาหารช่วงเย็น ถึงสายของวันถัดไป (เช่นอดอาหารตั้งแต่ 20:00 น. ถึง 12:00 น.) และกินได้ในช่วง 8 ชั่วโมงถัดมา

ควรระวังอะไรถ้าเริ่มทำไอเอฟ?

หากเริ่มทำไอเอฟ ควรระวังเรื่อง อาการวิงเวียน อ่อนเพลีย หรือหิวจัดในช่วงเริ่มต้น เนื่องจากร่างกายยังไม่ชิน กับการเปลี่ยนแปลงเวลาในการกิน นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ในช่วงเวลาที่กินได้ เช่นของทอด น้ำตาล หรือคาร์โบไฮเดรตขัดสี และควรดื่มน้ำให้เพียงพอ

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง