แคปซูล ผักเชียงดา อีกทางเลือกหนึ่งของผู้ใส่ใจสุขภาพ

แคปซูล ผักเชียงดา

แคปซูล ผักเชียงดา กลายเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่ได้รับความสนใจ ในกลุ่มคนใส่ใจเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเป็นธรรมชาติ การเสริมด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในยุค ที่ผู้คนให้ความสำคัญ กับทางเลือกแบบออร์แกนิกมากยิ่งขึ้น

  • ผักเชียงดาคืออะไร?
  • ผักเชียงดาลดน้ำตาลในเลือดยังไง?
  • คำแนะนำการทานสารสกัดผักเชียงดา

ผักเชียงดา Gymnema sylvestre คืออะไร?

ผักเชียงดาหรือที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gymnema sylvestre เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียใต้ โดยเฉพาะในอินเดีย และได้ถูกนำเข้ามาใช้ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยมาช้านานแล้ว

ผักเชียงดาเป็นไม้เถาเลื้อย มีใบสีเขียวเข้ม รสชาติฝาดเล็กน้อย นิยมนำใบสด ไปต้มจิ้มน้ำพริกหรือใส่ในแกงพื้นบ้าน นอกจากใช้เป็นอาหารแล้ว ยังถือเป็นสมุนไพร ที่ใช้ในทางการแพทย์แผนโบราณ มาหลายร้อยปี ในผักเชียงดา มีสารสำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะกลุ่มสาร ที่มีฤทธิ์ต้านน้ำตาลในเลือด ได้แก่

  • กรดจิมเนมิก (Gymnemic acids): มีคุณสมบัติ ในการลดการดูดซึมน้ำตาล จากลำไส้เล็ก เข้าสู่กระแสเลือด
  • กรดเอลลาจิก (Ellagic acid): สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดความเสียหายของเซลล์
  • ฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอล: สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
  • ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ: ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล และไขมัน

ผักเชียงดาลดน้ำตาลในเลือดยังไง?

หนึ่งในเหตุผล ที่ผักเชียงดา ถูกใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดก็คือ กลไกการทำงานของกรดจิมเนมิก ที่มีฤทธิ์ดังนี้

  • ลดการดูดซึมน้ำตาล จากลำไส้เล็ก กรดจิมเนมิกสามารถยับยั้งเอนไซม์ α-amylase และ α-glucosidase ซึ่งทำหน้าที่ย่อยคาร์โบไฮเดรตในอาหาร ให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคส ผลคือ น้ำตาลที่ย่อยแล้ว จะดูดซึมได้น้อยลง ผ่านผนังลำไส้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ไม่พุ่งสูงหลังอาหาร
  • กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน จากตับอ่อน ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งตับอ่อนยังมีเซลล์เบต้าบางส่วน ที่ทำงานอยู่ ผักเชียงดาสามารถกระตุ้นเซลล์เหล่านี้ ให้หลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้น อินซูลินเป็นฮอร์โมน ที่มีหน้าที่นำกลูโคส เข้าสู่เซลล์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ยับยั้งความอยากของรสหวาน สารจิมเนมิก มีโครงสร้างคล้ายกลูโคส เมื่อรับประทานเข้าไป จะไปจับกับตัวรับรสหวานที่ลิ้น ส่งผลให้รสชาติหวาน ลดลงชั่วคราว ทำให้ไม่รู้สึกว่าอาหาร หรือขนมหวาน ช่วยลดความอยากน้ำตาล โดยธรรมชาติ
  • ส่งเสริมการใช้กลูโคสในเซลล์ มีการศึกษาพบว่า ผักเชียงดาช่วยเพิ่มการดูดกลูโคส เข้าสู่เซลล์ โดยเฉพาะในกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งช่วยให้ร่างกาย นำน้ำตาลในเลือด ไปใช้ได้ดีขึ้น กระบวนการนี้ เกี่ยวข้องกับ การเพิ่มการแสดงออกของ GLUT4 ซึ่งเป็นโปรตีน ตัวรับกลูโคสที่ผิวเซลล์

ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของผักเชียงดา

นอกจากคุณสมบัติเด่น ในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว ผักเชียงดายังมีคุณประโยชน์ ที่หลากหลายต่อสุขภาพ ได้แก่

  • ลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ สารออกฤทธิ์ในผักเชียงดา สามารถช่วยลดไขมันเลว (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยง ของโรคหัวใจ และหลอดเลือด
  • ช่วย ควบคุมน้ำหนัก ผักเชียงดามีคุณสมบัติ ในการลดความอยากของรสหวาน ช่วยให้ควบคุมการบริโภคน้ำตาล และแคลอรีได้ดีขึ้น เหมาะกับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก หรือลดความอ้วน
  • ลดการอักเสบ ของเซลล์ในร่างกาย มีสารต้านการอักเสบ ตามธรรมชาติ ที่สามารถลดปฏิกิริยา การอักเสบภายในเซลล์ และเนื้อเยื่อ ซึ่งสัมพันธ์กับหลายโรคเรื้อรัง เช่นเบาหวาน ข้ออักเสบ และหัวใจ
  • เสริมภูมิคุ้มกัน ฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอล ในผักเชียงดา ช่วยกระตุ้นการทำงาน ของเม็ดเลือดขาว เพิ่มความสามารถ ของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค
  • ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ผักเชียงดาจึงมีบทบาท ในการปกป้องเซลล์ จากความเสียหาย ลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่นมะเร็ง หรือโรคเสื่อม ของระบบประสาท

คำแนะนำการทานสารสกัดผักเชียงดา

โดยทั่วไป แคปซูลสารสกัดผักเชียงดา มักมีปริมาณสารจิมเนมิกแอซิด อยู่ระหว่าง 25-75 มก.ต่อแคปซูล ซึ่งในงานวิจัยแนะนำ ให้รับประทานในช่วง 200-400 มก.ต่อวัน โดยแบ่งเป็น 2 มื้อก่อนอาหาร

และควรรับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 3-6 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลชัดเจน ในปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผักเชียงดา ให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น

  • แคปซูลผงผักเชียงดา: ผลิตจากใบผักเชียงดา ที่ผ่านการอบแห้ง และบดละเอียด
  • สารสกัดเข้มข้น ในรูปแบบเม็ด หรือแคปซูล: ให้ปริมาณสารสำคัญสูงกว่า
  • ชาผักเชียงดา: ดื่มแทนน้ำชา เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น

รูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ แคปซูลสารสกัดผักเชียงดา เนื่องจากสะดวกต่อการบริโภค และควบคุมปริมาณ ได้ง่ายกว่า

งานวิจัยที่สนับสนุนผักเชียงดา

มีงานวิจัยหลายฉบับ จากประเทศอินเดีย สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ที่สนับสนุนสรรพคุณของ สารสกัดจากผักเชียงดา โดยเฉพาะในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างเห็นผล

  • งานวิจัยที่โดดเด่น คือการทดลองในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยให้รับประทานสารสกัดจากผักเชียงดา ในปริมาณ 200-400 มก.ต่อวัน เป็นระยะเวลา 8-12 สัปดาห์ พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือด ขณะอดอาหารลดลง ระดับน้ำตาลสะสมลดลงอย่างชัดเจน (HbA1c) ซึ่งเป็นตัวชี้วัด ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดระยะยาว
  • บางการศึกษา ยังรายงานว่า ผู้ป่วยสามารถลดขนาดการใช้ยาเบาหวานได้ ภายหลังการใช้สารสกัดผักเชียงดาอย่างต่อเนื่อง
  • ในวารสาร Journal of Ethnopharmacology มีการตีพิมพ์งานวิจัยที่กล่าวถึงฤทธิ์ของสาร Gymnemic acid ว่าสามารถไปยับยั้งการทำงาน ของตัวรับรสหวานที่ลิ้น และยับยั้งการดูดซึมกลูโคส ในลำไส้เล็ก นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นการทำงาน ของเซลล์เบต้า ในตับอ่อน ที่ผลิตอินซูลิน
  • งานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น ยังแสดงให้เห็นว่า การใช้ผงใบผักเชียงดาแบบแห้ง ร่วมกับอาหาร สามารถลดระดับน้ำตาลหลังอาหารได้ดี โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง

ผักเชียงดามีโทษอะไรบ้าง?

  • ผู้ป่วยเบาหวาน ที่ใช้ยาลดน้ำตาลในเลือด: การรับประทานผักเชียงดา ร่วมกับยาลดน้ำตาลในเลือด อาจเสริมฤทธิ์กัน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ลดต่ำเกินไป ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้น ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ ก่อนรับประทานผักเชียงดา ​
  • ผู้ที่มีกรดในกระเพาะอาหารมาก: ไม่ควรรับประทานผักเชียงดา- ในขณะท้องว่าง เนื่องจากอาจกระตุ้น ให้เกิดอาการไม่สบายท้อง หรือแสบร้อนกลางอกได้ ​
  • สตรีมีครรภ์ และให้นมบุตร: ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคผักเชียงดา เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ เกี่ยวกับความปลอดภัย ในกลุ่มบุคคลดังกล่าว ​
  • ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ: ควรระมัดระวังในการบริโภคผักเชียงดา เนื่องจากอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ลดลงมากเกินไป

ที่มา: ผักเชียงดา สรรพคุณไม่ธรรมดา เป็นสมุนไพรลดน้ำตาลในเลือด [1]

สรุป สารในผักเชียงดา ลดน้ำตาลในเลือด

สารสกัดผักเชียงดา โดยเฉพาะในรูปแบบแคปซูล เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ของการดูแลสุขภาพ แบบธรรมชาติ โดยเฉพาะในกลุ่ม ผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อย่างปลอดภัย และยั่งยืน ด้วยกลไกการทำงาน ที่ชัดเจน ร่วมกับผลลัพธ์ จากงานวิจัยที่รองรับ ทำให้ผักเชียงดา กลายเป็นสมุนไพร ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แคปซูล ผักเชียงดา กินตอนไหน?

การรับประทาน แคปซูล ผักเชียงดา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ของผู้ผลิต หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เนื่องจากขนาด และเวลาที่เหมาะสม อาจแตกต่างกันไป ตามผลิตภัณฑ์ และสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล​

บางแหล่งข้อมูล แนะนำให้รับประทานแคปซูลผักเชียงดาก่อนอาหาร โดยทานครั้งละ 2 แคปซูล ก่อนอาหารเช้าและเย็น อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ​

ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ผักเชียงดาแคปซูล ของขาวละออเภสัช แนะนำให้รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล หลังอาหารเช้า และเย็น​ [2]

ผักเชียงดากินสดได้ไหม?

แคปซูล ผักเชียงดา

ผักเชียงดาสามารถรับประทานสดได้ โดยยอดอ่อน และใบอ่อน มักนำมารับประทานเป็นผักสด คู่กับน้ำพริก หรือตำมะม่วง นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปปรุงอาหาร ได้หลากหลายเมนู เช่น แกงผักเชียงดา แกงแค แกงโฮะ แกงเลียงกับปลาแห้ง หรือใส่ในต้มเลือดหมู ​[3]

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง