
เชสต์เบอร์รี่ คืออะไร เชสต์เบอร์รี่เป็นสมุนไพร ที่อยู่คู่กับมนุษย์มานานนับพันปี แม้ในยุคโบราณ เชสต์เบอร์รี่จะถูกนำมาใช้ในพิธีกรรม และการดูแลสุขภาพของสตรี แต่ในปัจจุบัน ความนิยมของสมุนไพรชนิดนี้ กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน วัยทอง ไปจนถึงผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน
เชสต์เบอร์รี่ คืออะไร เชสต์เบอร์รี่รู้จักในชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Vitex agnus-castus เป็นสมุนไพร ที่มีประวัติการใช้งานมายาวนานหลายพันปี โดยเฉพาะในวัฒนธรรมแถบเมดิเตอร์เรเนียน และตะวันออกกลาง เติบโตได้ดีในภูมิอากาศอบอุ่นและแห้ง พบได้ทั่วไปรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รวมถึงยุโรปตอนใต้ และเอเชียตะวันตก
ในยุคกรีก และโรมันโบราณ เชสต์เบอร์รี่ถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และการแพทย์พื้นบ้าน โดยเฉพาะ การช่วยลดความต้องการทางเพศ ในกลุ่มนักบวช จนได้รับสมญานามว่า “สมุนไพรพรหมจรรย์” หรือ “chaste tree” นอกจากนี้ ยังมีการใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการ ที่เกี่ยวข้องกับรอบเดือน และระบบสืบพันธุ์
ในยุคปัจจุบัน ความสนใจในเชสต์เบอร์รี่ ได้ขยายวงกว้างขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในวงการแพทย์ทางเลือก และอาหารเสริม เนื่องจากมีการค้นพบว่า เชสต์เบอร์รี่สามารถช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดอาการก่อนมีประจำเดือน รวมถึงช่วยบรรเทาอาการ ในผู้หญิงวัยทองได้
ที่มา: Does chasteberry curb the sex drive? [1]
โดยทั่วไปเชสต์เบอร์รี่ถือว่าปลอดภัย สำหรับคนส่วนใหญ่ เมื่อใช้ในปริมาณที่แนะนำ อย่างไรก็ตาม อาจเกิดผลข้างเคียง ในบางรายดังนี้
โดยทั่วไปอาการเหล่านี้ มักไม่รุนแรง และหายไปเมื่อหยุดใช้ แต่หากมีอาการรุนแรง หรือไม่หาย ควรหยุดใช้ และปรึกษาแพทย์
เชสต์เบอร์รี่เป็นสมุนไพร ที่มีประวัติการใช้งาน มาอย่างยาวนาน ในด้านการดูแลสุขภาพผู้หญิง โดยเฉพาะการช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน และบรรเทาอาการไม่พึงประสงค์ ในช่วงก่อนมีประจำเดือน และวัยทอง ผู้ที่ต้องการแนวทางธรรมชาติ ในการดูแลสุขภาพ เชสต์เบอร์รี่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ที่ควรพิจารณา
ที่มา: Chasteberry [2]
แนะนำให้รับประทานเชสต์เบอร์รี่ ในช่วงเช้า เนื่องจากในช่วงเช้านั้น ต่อมใต้สมอง จะตอบสนองต่อสมุนไพรได้ดีที่สุด โดยเฉพาะฤทธิ์ในการลดฮอร์โมนโปรแลคติน ซึ่งมีผลต่ออาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ PMS และ PMDD เช่นอารมณ์แปรปรวน และเจ็บเต้านม
ขนาดและรูปแบบการรับประทาน ขนาดที่แนะนำ 400 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับการบรรเทาอาการ PMDDรูปแบบผลิตภัณฑ์ แคปซูล สารสกัดเข้มข้น หรือชา ระยะเวลาในการใช้ ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือน เพื่อประเมินผลลัพธ์ [3]