เชสต์เบอร์รี่ คืออะไร พืชสมุนไพรพันปี

เชสต์เบอร์รี่ คืออะไร

เชสต์เบอร์รี่ คืออะไร เชสต์เบอร์รี่เป็นสมุนไพร ที่อยู่คู่กับมนุษย์มานานนับพันปี แม้ในยุคโบราณ เชสต์เบอร์รี่จะถูกนำมาใช้ในพิธีกรรม และการดูแลสุขภาพของสตรี แต่ในปัจจุบัน ความนิยมของสมุนไพรชนิดนี้ กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน วัยทอง ไปจนถึงผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน

  • ประวัติ และที่มา ของเชสต์เบอร์รี่
  • สารสำคัญของเชสต์เบอร์รี่
  • ประโยชน์ของเชสต์เบอร์รี่

ประวัติ และที่มา ของเชสต์เบอร์รี่

เชสต์เบอร์รี่ คืออะไร

เชสต์เบอร์รี่ คืออะไร เชสต์เบอร์รี่รู้จักในชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Vitex agnus-castus เป็นสมุนไพร ที่มีประวัติการใช้งานมายาวนานหลายพันปี โดยเฉพาะในวัฒนธรรมแถบเมดิเตอร์เรเนียน และตะวันออกกลาง เติบโตได้ดีในภูมิอากาศอบอุ่นและแห้ง พบได้ทั่วไปรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รวมถึงยุโรปตอนใต้ และเอเชียตะวันตก

ในยุคกรีก และโรมันโบราณ เชสต์เบอร์รี่ถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และการแพทย์พื้นบ้าน โดยเฉพาะ การช่วยลดความต้องการทางเพศ ในกลุ่มนักบวช จนได้รับสมญานามว่า “สมุนไพรพรหมจรรย์” หรือ “chaste tree” นอกจากนี้ ยังมีการใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการ ที่เกี่ยวข้องกับรอบเดือน และระบบสืบพันธุ์

ในยุคปัจจุบัน ความสนใจในเชสต์เบอร์รี่ ได้ขยายวงกว้างขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในวงการแพทย์ทางเลือก และอาหารเสริม เนื่องจากมีการค้นพบว่า เชสต์เบอร์รี่สามารถช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดอาการก่อนมีประจำเดือน รวมถึงช่วยบรรเทาอาการ ในผู้หญิงวัยทองได้

สารสำคัญของเชสต์เบอร์รี่

  • ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เช่นคาเอมพเฟอรอล (Kaempferol) และควอซิทิน (Quercetin) ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหาย จากอนุมูลอิสระ และมีบทบาทในการลดการอักเสบ
  • ไดเทอร์พีน (Diterpenes) รวมถึงสาร agnuside และ aucubin ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ในการออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน โดยเฉพาะการส่งผลต่อฮอร์โมนโปรแลคติน ผ่านตัวรับโดปามีน ที่ต่อมใต้สมอง ช่วยลดระดับโปรแลคตินในเลือด
  • อัลคาลอยด์ (Alkaloids) แม้จะพบในปริมาณไม่มาก แต่อัลคาลอยด์บางชนิด ในเชสต์เบอร์รี่ มีบทบาทต่อระบบประสาท และการสื่อสารของเซลล์
  • น้ำมันหอมระเหย (Essential oils) เช่น cineol และ sabinene ช่วยเสริมฤทธิ์ของสารออกฤทธิ์อื่นๆ ในการบรรเทาอาการไม่สบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์
  • ไกลโคไซด์ (Glycosides) เช่น iridoid glycosides ซึ่งเชื่อว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และช่วยสนับสนุนการทำงาน ของระบบฮอร์โมน

ประโยชน์ของเชสต์เบอร์รี่

  • บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) เชสต์เบอร์รี่มีฤทธิ์ ช่วยลดระดับฮอร์โมนโปรแลคตินในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับอาการก่อนมีประจำเดือน เช่นเจ็บเต้านม อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ซึมเศร้า และท้องอืด การใช้เชสต์เบอร์รี่เป็นประจำ ช่วยให้อาการเหล่านี้ลดลงได้
  • ช่วยให้รอบเดือนปกติ ในกรณีที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมีอาการขาดประจำเดือน เชสต์เบอร์รี่อาจช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนลูทีไนซิง (LH) และปรับสมดุล ของฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนให้เหมาะสม ช่วยให้วงจรการมีประจำเดือน กลับมาเป็นปกติ
  • ลดอาการวัยทอง สำหรับผู้หญิงวัยทอง เชสต์เบอร์รี่ช่วยลดอาการ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่นร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน และอารมณ์แปรปรวน ซึ่งมักสร้างความรำคาญใจ และกระทบต่อคุณภาพชีวิต ช่วยให้การปรับตัว ในช่วงวัยทอง เป็นไปได้อย่างราบรื่น และมีความสุขมากขึ้น
  • อาจช่วยเพิ่มโอกาส ในการตั้งครรภ์ สำหรับผู้หญิง ที่มีภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่ำหรือการตกไข่ไม่ปกติ เชสต์เบอร์รี่อาจช่วยปรับปรุงการตกไข่ และสนับสนุนระดับโปรเจสเตอโรน ให้เหมาะสมกับการตั้งครรภ์
  • ลดภาวะเจ็บเต้านม (Mastalgia) การศึกษาหลายชิ้นพบว่า เชสต์เบอร์รี่ช่วยลดอาการเจ็บเต้านม ที่มักเกิดขึ้น ก่อนมีประจำเดือน ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลดระดับโปรแลคติน
  • ปรับสมดุลฮอร์โมน อารมณ์ จากการที่เชสต์เบอร์รี่ ช่วยลดระดับโปรแลคติน และปรับสมดุลฮอร์โมน จึงส่งผลให้อาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความหงุดหงิด ก่อนมีประจำเดือน ลดลงตามไปด้วย

เชสต์เบอร์รี่มีผลต่อฮอร์โมนอย่างไร?

  • ลดระดับโปรแลคติน (Prolactin) เชสต์เบอร์รี่มีฤทธิ์กระตุ้นตัวรับโดปามีน ในต่อมใต้สมองส่วนหน้า ซึ่งส่งผล ให้ระดับฮอร์โมนโปรแลคตินลดลง โปรแลคตินที่สูงเกิน ไปอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่นประจำเดือนมาไม่ปกติ ภาวะมีบุตรยาก และอาการเจ็บเต้านมก่อนมีประจำเดือน
  • เพิ่มระดับลูทีไนซิงฮอร์โมน (LH) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) การลดระดับโปรแลคติน ช่วยกระตุ้น การหลั่งฮอร์โมนลูทีไนซิง (LH) ซึ่งมีบทบาท ในการกระตุ้นการตกไข่ และการผลิตโปรเจสเตอโรน ที่เป็นฮอร์โมนช่วยปรับสมดุล กับเอสโตรเจน มีผลต่อการลดอาการก่อนมีประจำเดือน
  • ปรับสมดุลเอสโตรเจน (Estrogen) เชสต์เบอร์รี่มีผลในการลดระดับเอสโตรเจน ซึ่งเมื่อสมดุลกับโปรเจสเตอโรนแล้ว จะช่วยลดอาการ ที่เกี่ยวข้องกับเอสโตรเจนสูง เช่นอารมณ์แปรปรวน

ที่มา: Does chasteberry curb the sex drive? [1]

ข้อควรระวังของเชสต์เบอร์รี่

  • หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ไม่แนะนำให้ใช้เชสต์เบอร์รี่
  • ผู้ที่มีภาวะไวต่อฮอร์โมน ผู้ที่เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
  • ผู้ที่ใช้ยาควบคุมฮอร์โมน เชสต์เบอร์รี่อาจรบกวนประสิทธิภาพ
  • ผู้ที่มีประวัติโรคลมชัก หรือโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เนื่องจากเชสต์เบอร์รี่ อาจมีผลต่อระบบประสาท จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ หากมีประวัติโรคเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

ผลข้างเคียงของเชสต์เบอร์รี่

โดยทั่วไปเชสต์เบอร์รี่ถือว่าปลอดภัย สำหรับคนส่วนใหญ่ เมื่อใช้ในปริมาณที่แนะนำ อย่างไรก็ตาม อาจเกิดผลข้างเคียง ในบางรายดังนี้

  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้ หรือไม่สบายท้อง
  • เวียนศีรษะ
  • ผื่นคัน หรืออาการแพ้ ทางผิวหนัง
  • ปากแห้ง
  • อาการเปลี่ยนแปลง ของรอบเดือน อาจมากขึ้น หรือน้อยลงในบางราย
  • อารมณ์เปลี่ยนแปลง หรือรู้สึกกระสับกระส่าย

โดยทั่วไปอาการเหล่านี้ มักไม่รุนแรง และหายไปเมื่อหยุดใช้ แต่หากมีอาการรุนแรง หรือไม่หาย ควรหยุดใช้ และปรึกษาแพทย์

โดยสรุป เชสต์เบอร์รี่ คืออะไร

เชสต์เบอร์รี่เป็นสมุนไพร ที่มีประวัติการใช้งาน มาอย่างยาวนาน ในด้านการดูแลสุขภาพผู้หญิง โดยเฉพาะการช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน และบรรเทาอาการไม่พึงประสงค์ ในช่วงก่อนมีประจำเดือน และวัยทอง ผู้ที่ต้องการแนวทางธรรมชาติ ในการดูแลสุขภาพ เชสต์เบอร์รี่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ที่ควรพิจารณา

ใครบ้างที่ไม่ควรทานเชสต์เบอร์รี่?

  • ผู้ที่มีภาวะไวต่อฮอร์โมน (Hormone-Sensitive Conditions) ผู้หญิงที่มีภาวะ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่นมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก หรือมะเร็งรังไข่ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เชสต์เบอร์รี่ เนื่องจากสมุนไพรนี้ อาจมีผลกระทบ ต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผล ต่อการเจริญเติบโต ของเนื้องอก หรือมีการลุกลาม
  • หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร การใช้เชสต์เบอร์รี่ในช่วงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร อาจไม่ปลอดภัย เนื่องจากมีหลักฐานเบื้องต้น ที่ชี้ว่าอาจส่งผลต่อฮอร์โมน ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ และการผลิตน้ำนม ซึ่งอาจเป็นอันตราย ต่อทั้งแม่ และทารก
  • ผู้ที่ใช้ยา ที่มีผลต่อระบบฮอร์โมน หรือระบบประสาท เชสต์เบอร์รี่อาจมีปฏิกิริยา กับยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีผล ต่อระบบฮอร์โมน หรือระบบประสาท เช่นยาคุมกำเนิด ยาฮอร์โมนทดแทน หรือยาที่มีผลต่อระดับโดปามีนในสมอง การใช้ร่วมกัน อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาเปลี่ยนแปลง

ที่มา: Chasteberry [2]

ควรทานเชสต์เบอร์รี่ตอนไหน?

แนะนำให้รับประทานเชสต์เบอร์รี่ ในช่วงเช้า เนื่องจากในช่วงเช้านั้น ต่อมใต้สมอง จะตอบสนองต่อสมุนไพรได้ดีที่สุด โดยเฉพาะฤทธิ์ในการลดฮอร์โมนโปรแลคติน ซึ่งมีผลต่ออาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ PMS และ PMDD เช่นอารมณ์แปรปรวน และเจ็บเต้านม

ขนาดและรูปแบบการรับประทาน ขนาดที่แนะนำ 400 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับการบรรเทาอาการ PMDDรูปแบบผลิตภัณฑ์ แคปซูล สารสกัดเข้มข้น หรือชา ระยะเวลาในการใช้ ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือน เพื่อประเมินผลลัพธ์ [3]

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง