เคราติน กินอะไร เพื่อให้เส้นผม เล็บแข็งแรง

เคราติน กินอะไร

เคราติน กินอะไร คำถามที่หลายคน ที่ใส่ใจสุขภาพเส้นผมและเล็บอาจอยากรู้ ว่าสารอาหารแบบไหนช่วยส่งเสริมการสร้างเคราตินให้ร่างกาย และมีบทบาทอย่างไร ในการดูแลเส้นผมให้นุ่มสวย แข็งแรง ก่อนจะเลือกอาหารเสริม หรือปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเคราตินกันก่อน

โปรตีน Keratin คืออะไร?

เคราติน กินอะไร

เคราตินเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่เป็นส่วนประกอบหลักของเส้นผม เล็บ และชั้นนอกของผิวหนัง นอกจากนี้ยังพบได้ในโครงสร้างของขนสัตว์ ขนนก และเขาสัตว์ต่างๆ เคราตินเป็นโปรตีนที่มีความแข็งแรงสูง และมีบทบาทสำคัญ ในการปกป้องเซลล์ จากการเสียหาย เนื่องจากแรงกระแทก และสารเคมี ประเภทของเคราติน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. เคราตินแข็งพบใน เส้นผม เล็บ และเขาสัตว์ มีโครงสร้างที่แข็งแรง และทนทาน ประกอบด้วยซัลเฟอร์ (Sulfur) ในปริมาณสูง ทำให้เกิดพันธะไดซัลไฟด์ (Disulfide Bond) ที่ช่วยเสริมความแข็งแรง
  2. เคราตินอ่อน พบในผิวหนัง และเซลล์เยื่อบุผิว มีความยืดหยุ่นสูงกว่าประเภทแข็ง มีปริมาณซัลเฟอร์ต่ำกว่า ทำให้มีความอ่อนนุ่ม และยืดหยุ่น

ที่มา: เคราติน คืออะไร? [1]

 

ประโยชน์ของเคราตินต่อร่างกาย

เคราตินมีบทบาทสำคัญหลายด้าน ไม่เพียงแค่ในเรื่องของความงาม แต่ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยรวมด้วย ได้แก่
ช่วยเสริมสร้าง และบำรุงเส้นผม เพิ่มความแข็งแรงให้เส้นผม ลดการขาดหลุดร่วง ฟื้นฟูเส้นผมที่แห้งเสีย ให้มีสุขภาพดีขึ้น ป้องกันผมชี้ฟู และแตกปลาย

  • เสริมสร้างความแข็งแรงของเล็บ ทำให้เล็บแข็งแรง ไม่เปราะหรือฉีกง่าย ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเล็บ ให้เป็นปกติ
  • บำรุงสุขภาพผิว ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างของเซลล์ผิว ปกป้องผิวจากมลภาวะ และสารเคมี ลดความแห้งกร้าน ทำให้ผิวเรียบเนียน
  • ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย มีบทบาทสำคัญ ในกระบวนการฟื้นฟู และสร้างเซลล์ใหม่ ช่วยรักษาแผล และป้องกันการติดเชื้อในผิวหนัง
  • เสริมความแข็งแรงให้ฟัน และเหงือก มีส่วนช่วยในโครงสร้างของเคลือบฟัน ป้องกันฟันผุ และเสริมสุขภาพเหงือก

แหล่งที่มา เคราติน กินอะไร

ร่างกายสามารถสร้างเคราตินเองได้ จากสารอาหารที่เราบริโภคเข้าไป อาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน และสารอาหารสำคัญอื่นๆ จะช่วยกระตุ้นการผลิตเคราตินได้ดี ซึ่งได้แก่

  • เคราติน กินอะไร อย่างแรกที่แนะนำ คือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่นเนื้อวัว, เนื้อไก่, เนื้อหมู ไข่โดยเฉพาะไข่แดง ที่มีกรดอะมิโน และซัลเฟอร์สูง และปลาเช่นปลาแซลมอน ที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และโปรตีน
  • อาหารทะเล หอยนางรม อุดมไปด้วย สังกะสี (Zinc) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเคราติน กุ้ง ปลาหมึก และปลาทะเลน้ำลึก
  • ธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว เช่นถั่วเหลือง, ถั่วลิสง, อัลมอนด์, ควินัว, เมล็ดแฟลกซ์, เมล็ดฟักทอง
  • ผักและผลไม้ ที่มีซัลเฟอร์สูง เช่นบรอกโคลี, กระเทียม, หัวหอม, กะหล่ำปลี, อะโวคาโด, มะม่วง, กล้วย
  • ผลิตภัณฑ์นม เช่นโยเกิร์ต, ชีส อุดมด้วยโปรตีน ช่วยสร้างเคราติน
  • เจลาติน และกระดูกอ่อนสัตว์ เช่นน้ำซุปกระดูก เป็นแหล่งคอลลาเจน และเคราตินที่ดี

ที่มา: เคราติน (Keratin) คืออะไร? [2]

วิตามินแร่ธาตุที่ช่วยเสริมเคราติน

  • ไบโอติน (Biotin) หรือวิตามิน B7 กระตุ้นการผลิตเคราติน และเสริมความแข็งแรง ให้เส้นผมและเล็บ พบในไข่แดง ตับ ถั่วอัลมอนด์ กล้วย และมันหวาน
  • วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์เคราติน และการสร้างน้ำมันธรรมชาติ ให้ผิวและเส้นผม พบในแครอท ฟักทอง มันเทศ ตับ และผักใบเขียว
  • วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์เคราติน ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของเคราติน พบในส้ม ฝรั่ง พริกหวาน และผลไม้รสเปรี้ยว
  • วิตามินดี ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรูขุมขน และกระตุ้นการผลิตเคราติน พบในปลาแซลมอน ไข่แดง นม และแสงแดด
  • วิตามินอี ช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางาม และป้องกันการแห้งเสีย พบในอัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดทานตะวัน และอะโวคาโด
  • ซัลเฟอร์ (Sulfur) เป็นองค์ประกอบสำคัญ ของเคราติน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผมและเล็บ พบในกระเทียม หัวหอม บรอกโคลี และไข่
  • สังกะสี (Zinc) ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เคราติน และลดการขาดหลุดร่วงของเส้นผม พบใน หอยนางรม เนื้อสัตว์ ถั่ว และเมล็ดฟักทอง
  • ธาตุเหล็ก (Iron) มีบทบาทในการลำเลียงออกซิเจน ไปยังเซลล์เคราติน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม พบในตับ เนื้อแดง ผักโขม และถั่วเลนทิล

อาหารเสริมเคราตินกินตอนไหน?

อาหารเสริมเคราติน ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด มักประกอบด้วยส่วนผสมหลักอย่างไบโอติน ซึ่งเป็นวิตามินสำคัญ ในการเสริมสร้างเคราติน และบำรุงสุขภาพเส้นผม

โดยคำแนะนำในการรับประทานอาหารเสริมเคราตินและไบโอติน คือทานหลังอาหารเช้า การรับประทานหลังอาหารเช้า ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้ดีขึ้น หรือขณะท้องว่างตอนเช้า บางแหล่งแนะนำให้รับประทานในช่วงเช้า ขณะท้องว่าง เพื่อประสิทธิภาพการดูดซึมที่สูงสุด [3]

คำแนะนำในการเสริมสร้างเคราติน

  • รับประทานอาหาร ที่อุดมด้วยโปรตีน และวิตามินที่จำเป็น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและเล็บ ที่มีเคราตินเป็นส่วนประกอบ
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรง กับเส้นผมและเล็บ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาสุขภาพของเซลล์ผิวหนัง และเส้นผม
  • อาจเลือกทานอาหารเสริม ที่ช่วยเสริมสร้างเคราติน

สรุป เคราติน โปรตีนเสริมสุขภาพผม เล็บ

เคราตินเป็นโปรตีนสำคัญ ที่มีบทบาทต่อสุขภาพเส้นผม เล็บ และผิวหนัง ร่างกายสามารถสร้างเคราตินเองได้จากสารอาหารที่เราบริโภค และยังสามารถเสริมด้วยอาหารเสริมต่างๆ ได้อีกด้วย การดูแลสุขภาพของเส้นผม และเล็บให้แข็งแรง จึงต้องทานอาหารที่ดี การดูแลภายนอก และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

ใครที่ควรทานอาหารเสริมเคราติน

  • ผู้ที่มีปัญหาเส้นผมอ่อนแอ ขาดหลุดร่วงง่าย เคราตินช่วยซ่อมแซม และเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม
  • ผู้ที่มีผมแห้งเสีย แตกปลาย หรือผ่านการทำเคมี เหมาะสำหรับผู้ที่ทำสีผม ยืด ดัด หรือใช้ความร้อนบ่อยๆ
  • ผู้ที่มีเล็บเปราะหักง่าย เคราตินช่วยเพิ่มความแข็งแรง และความยืดหยุ่นของเล็บ
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง หยาบกร้าน เคราตินมีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ผิว และเพิ่มความชุ่มชื้น
  • ผู้ที่ขาดสารอาหารจำเป็น ต่อการสร้างเคราติน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับโปรตีนน้อย หรือขาดไบโอติน วิตามิน A, C, D, E และแร่ธาตุ เช่นสังกะสี และซัลเฟอร์
  • ผู้สูงอายุ กระบวนการสร้างเคราตินลดลงตามวัย อาหารเสริมช่วยชะลอการเสื่อมของเส้นผมและเล็บ
  • ผู้ที่ต้องการเร่งการเจริญเติบโตของเส้นผมและเล็บ
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผมยาวเร็วขึ้น หรือเล็บแข็งแรงขึ้น

ข้อควรระวังการทานเคราติน

  • อาจไม่จำเป็นสำหรับทุกคน คนที่รับประทานโปรตีนเพียงพอจากอาหาร อาจไม่จำเป็นต้องทานเสริม
  • อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ผู้ที่แพ้ผลิตภัณฑ์จากขนสัตว์ หรือโปรตีนบางชนิด ควรตรวจสอบส่วนผสมก่อนทาน
  • เสี่ยงต่อภาวะโปรตีนเกิน การบริโภคโปรตีนมากเกินไป อาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคไต
  • ผลลัพธ์แตกต่างกันในแต่ละบุคคล บางคนอาจเห็นผลชัดเจน ในการบำรุงเส้นผมและเล็บ ในขณะที่บางคนอาจไม่เห็นผลเลย
Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง