สารสกัด อบเชย คืออะไร ลดน้ำตาลได้ไหม?

สารสกัด อบเชย

สารสกัด อบเชย กลายเป็นหนึ่งในส่วนผสมจากธรรมชาติ ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่ม ผู้ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ และการดูแลร่างกาย ด้วยวิธีธรรมชาติ ความหอมเฉพาะตัว และคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของอบเชย ไม่ได้มีดีเพียงแค่ใช้ในอาหาร แต่ยังถูกนำมาศึกษาด้านสมุนไพร การแพทย์ทางเลือก และอาหารเสริม

  • สารสำคัญในอบเชย
  • ประโยชน์ของอบเชย
  • งานวิจัยสารสกัดอบเชย

ประวัติ และแหล่งที่มาอบเชย

อบเชยเป็นเครื่องเทศจากเปลือกต้นอบเชย ซึ่งสามารถพบได้ ในหลายประเทศเขตร้อน เช่นศรีลังกา อินเดีย จีน และอินโดนีเซีย โดยสายพันธุ์ที่นิยมใช้กันมาก ในทางการแพทย์ ได้แก่ Cinnamomum-verum (อบเชยแท้) และ Cinnamomum-cassia (อบเชยจีน)

ซึ่งแต่ละชนิด จะมีปริมาณสารสำคัญที่แตกต่างกันเช่น cinnamaldehyde, cinnamic acid, และ eugenol สารสกัดอบเชย ได้จากการนำเปลือกอบเชย มาผ่านกระบวนการสกัดแบบเข้มข้น เพื่อให้ได้สารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพสูง พร้อมนำไปใช้ในรูปแบบแคปซูล ผง หรือสารละลาย ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ

สารสำคัญในอบเชย กลไกการทำงาน

สารสกัด อบเชย ประกอบด้วยสารออกฤทธิ์หลายชนิดโดยเฉพาะ cinnamaldehyde ที่มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ ยังมี polyphenols และ flavonoids ที่ช่วยปรับสมดุล ของอินซูลินในร่างกาย

กลไกที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของอบเชย

  • เพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน (Insulin Sensitivity) อบเชยสามารถเพิ่มการตอบสนองของเซลล์ ต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายสามารถใช้น้ำตาลได้ดีขึ้น
  • ชะลอการดูดซึมน้ำตาลจากอาหาร ในลำไส้เล็ก
  • ลดระดับน้ำตาล หลังมื้ออาหาร และช่วยควบคุมการเปลี่ยนแป้ง เป็นกลูโคส
  • กระตุ้นการทำงาน ของเอนไซม์ ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญกลูโคส
  • ลดระดับกลูโคสในเลือด แบบตรงผ่านสาร cinnamaldehyde ซึ่งมีผลคล้ายกับอินซูลิน ในระดับหนึ่ง

ประโยชน์อบเชย ด้านสุขภาพอื่นๆ

  • ต้านอนุมูลอิสระ อบเชยมีสารโพลีฟีนอล ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ จากความเสียหาย และลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ​
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สารสกัดอบเชย สามารถเพิ่มความไวของเซลล์ ต่ออินซูลิน ช่วยให้ร่างกายจัดการกับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ ต่อผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือเบาหวานชนิดที่ 2 ​
  • ต้านการอักเสบ สารประกอบในอบเชย มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคเรื้อรังหลายชนิด ​
  • ต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา อบเชยมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ​
  • บำรุงสุขภาพหัวใจ การบริโภคอบเชยช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และหลอดเลือด ​
  • บำรุงสมอง ระบบประสาท มีการศึกษาเบื้องต้น ที่แสดงว่าอบเชย ช่วยป้องกัน หรือชะลอการเกิดโรคทางระบบประสาท เช่นอัลไซเมอร์ ​

ที่มา: Cinnamon-Extract Powder [1]

 

งานวิจัย สารสกัด อบเชย

สารสกัด อบเชย

งานวิจัยจาก Diabetes Care (2003)

ผู้วิจัย Khan et al หัวข้อ Cinnamon Improves Glucose and Lipids of People With Type 2 Diabetes ในการศึกษานี้ คัดเลือกผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 60 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม โดยให้รับประทานอบเชยผงในปริมาณ 1 กรัม, 3 กรัม และ 6 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 40 วัน ผลลัพธ์ที่พบ มีดังนี้

  • ระดับกลูโคสในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Blood Glucose) ลดลงเฉลี่ย 18–29%
  • คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol) ลดลง 12–26%
  • LDL (ไขมันไม่ดี) ลดลง 7–27%
  • ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ลดลง 23–30%
  • HDL (ไขมันดี) แทบไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

อบเชยในปริมาณเล็กน้อยแต่ใช้ต่อเนื่อง มีผลช่วยลดระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

งานวิจัยจาก Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics (2012)

บทความ Effect of cinnamon on postprandial blood glucose concentration in patients with type 2 diabetes ศึกษาผลของ สารสกัดอบเชย ต่อระดับน้ำตาล หลังมื้ออาหาร ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยให้รับประทานอบเชย 6 กรัมต่อมื้อ และวัดระดับน้ำตาลในเลือดช่วงเวลา 60, 90, 120 นาทีหลังอาหาร ผลลัพธ์ที่พบ มีดังนี้

  • กลุ่มที่รับประทานอบเชย มีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับสารสกัด
  • การดูดซึมกลูโคสช้าลง ทำให้การเพิ่มของน้ำตาลในเลือดชะลอ

อบเชยมีศักยภาพในการควบคุมระดับน้ำตาลหลังอาหาร โดยเฉพาะเมื่อรับประทาน ร่วมกับอาหาร ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง

ใครที่ควรทาน สารสกัด อบเชย

  • ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง หรืออยู่ในภาวะ ก่อนเบาหวาน (Prediabetes) อบเชยช่วยเพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน และช่วยควบคุมระดับกลูโคสในเลือด โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร
  • ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการตัวช่วย จากธรรมชาติ เพื่อเสริมการควบคุมน้ำตาลในเลือด
  • ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง หรือภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ อบเชยช่วยลด LDL และไตรกลีเซอไรด์ได้
  • ผู้ที่มีภาวะอักเสบเรื้อรัง หรืออยากลดความเครียดออกซิเดชันในร่างกาย เพราะอบเชยมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
  • ผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก มีงานวิจัยบางชิ้น เสนอว่าอบเชยช่วยชะลอการดูดซึมแป้ง และน้ำตาล ช่วยควบคุมความอยากอาหารได้

ใครที่ไม่ควรทาน สารสกัดอบเชย

  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ โดยเฉพาะหากใช้ อบเชยชนิด Cassia ซึ่งมีปริมาณ คูมาริน (Coumarin) สูง อาจส่งผลให้ตับอักเสบหรือเกิดพิษต่อตับได้
  • ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดเช่น Warfarin (วาร์ฟาริน) อบเชยมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงในการมีเลือดออก
  • สตรีตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน ในรูปแบบเข้มข้น หรืออาหารเสริม เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ ด้านความปลอดภัย
  • ผู้ที่มีอาการแพ้อบเชย อาจเกิดอาการผื่น คัน ระคายเคือง หรือแผลในปาก หากร่างกายไวต่อสารในอบเชย
  • เด็กเล็ก ยังไม่ควรรับประทานสารสกัด ในรูปแบบเข้มข้น เพราะอาจกระทบต่อตับ หรือทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ง่าย

สรุป อบเชย สมุนไพรศักยภาพสูง

สารสกัดอบเชยเป็นสมุนไพรธรรมชาติ ที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และสนับสนุนสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วยสารออกฤทธิ์ ที่มีทั้งฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และเพิ่มความไวของอินซูลิน ทำให้เป็นหนึ่งในตัวเลือก ของผู้ที่มองหาทางเลือกธรรมชาติ ในการดูแลสุขภาพ

อบเชยสมุนไพรศักยภาพสูง

แม้ว่าอบเชยจะมีประโยชน์ ต่อสุขภาพหลายประการ แต่การบริโภคในปริมาณมาก หรือไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง และความเสี่ยงต่อสุขภาพ ดังนี้

  • ความเป็นพิษต่อตับ อบเชยชนิด Cassia มีสาร Coumarin ในปริมาณสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อตับ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาตับอยู่แล้ว ​
  • ปฏิกิริยากับยาละลายลิ่มเลือด คูมารินในอบเชย อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ดังนั้น ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด เช่นวาร์ฟาริน ควรระมัดระวัง ในการบริโภคอบเชย เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการมีเลือดออก ​
  • ปฏิกิริยาภูมิแพ้ บางคนอาจมีอาการแพ้อบเชย ซึ่งอาจแสดงออกในรูปแบบของอาการคัน ผื่นแดง หรือบวมในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ​
  • การระคายเคืองในช่องปาก และทางเดินอาหาร สารซินนามัลดีไฮด์ในอบเชย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ทำให้เกิดแผล หรือความรู้สึกแสบร้อน นอกจากนี้ การบริโภคอบเชย ในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง หรือท้องเสีย ​
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือดมากเกินไป อบเชยมีคุณสมบัติช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่หากบริโภคมากเกินไป อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หรือเป็นลม ​
  • ความเสี่ยงต่อการสำลัก และปัญหาทางเดินหายใจ การบริโภคผงอบเชยแห้งโดยตรง อาจทำให้เกิดการสำลัก และหากสูดดมเข้าไป อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อปอด และทางเดินหายใจ ​

ที่มา: 7 Side Effects of Too Much-Cinnamon [2]

 

สารสกัดอบเชยควรกินตอนไหน?

  • รับประทานพร้อมมื้อโดยการรับประทานพร้อมมื้ออาหาร จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมและใช้ประโยชน์จากสารสกัดอบเชยได้ดีขึ้น ​
  • ปริมาณที่แนะนำ ปริมาณการบริโภคอบเชยที่แนะนำ อยู่ระหว่าง 1 ถึง 3 กรัมต่อวัน ซึ่งสามารถแบ่งรับประทานได้ตามความเหมาะสม
  • คำแนะนำเพิ่มเติม ควรเลือกใช้อบเชยชนิด Ceylon เนื่องจากมีปริมาณคูมารินต่ำ กว่าอบเชยชนิด Cassia ซึ่งการบริโภคคูมารินในปริมาณสูง อาจส่งผลต่อตับได้ ​

ที่มา: Cinnamon [3]

 

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง