สารสกัด ลูกซัด สมุนไพรพื้นเมือง คุมน้ำตาล

สารสกัด ลูกซัด

สารสกัด ลูกซัด เป็นอีกหนึ่งชื่อหนึ่ง ที่เริ่มปรากฏบ่อยขึ้น ในวงการสุขภาพ และโภชนาการ ทั้งในด้านการใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไปจนถึงการนำมาใช้ ในผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพโดยรวม จริงๆแล้วลูกซัดถูกใช้มายาวนานหลายพันปี ทั้งในตำรายาอายุรเวทของอินเดีย และตำรับยาแผนจีน

  • ประวัติ และแหล่งที่มาของลูกซัด
  • ลูกซัดกับการคุมน้ำตาลในเลือด
  • ลูกซัดมีสรรพคุณอะไรบ้าง?

ประวัติ และแหล่งที่มาของลูกซัด

สารสกัด ลูกซัด

ลูกซัดเป็นพืชสมุนไพรพื้นเมือง ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน อินเดีย และเอเชียตะวันตก ใช้ในตำรายาอายุรเวท และจีนโบราณ มานานกว่า 2,000 ปี ทั้งเพื่อบำรุงร่างกาย กระตุ้นการขับน้ำนม และช่วยย่อยอาหาร ปัจจุบันปลูกแพร่หลายในอินเดีย จีน อียิปต์ และแถบตะวันออกกลาง โดยสารออกฤทธิ์สำคัญ ที่พบในเมล็ดลูกซัด ได้แก่

  • 4-hydroxyisoleucine: ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย
  • ไตรโกเนลลีน (Trigonelline): มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน และป้องกันระบบประสาท
  • ซาโปนิน (Saponins) และฟลาโวนอยด์: ช่วยลดไขมันในเลือด และเสริมระบบภูมิคุ้มกัน
  • ใยอาหารชนิดละลายน้ำ (Galactomannan): ช่วยชะลอการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูง

ลูกซัดกับการคุมน้ำตาลในเลือด

  • หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ลูกซัด ได้รับความนิยม ในฐานะอาหารเสริม คือความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจากงานวิจัยหลายชิ้น พบว่า
  • ช่วยเพิ่มความไว ของอินซูลิน: สาร 4-hydroxyisoleucine ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน จากตับอ่อน ซึ่งเป็นประโยชน์ ต่อผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2
  • ชะลอการดูดซึมกลูโคส: ใยอาหารในลูกซัด จะสร้างเจลในกระเพาะอาหาร ซึ่งช่วยชะลอการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต
  • ลด HbA1c: งานวิจัยบางชิ้นพบว่า เมื่อรับประทานลูกซัดต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป ค่าระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) มีแนวโน้มลดลง

ลูกซัดมีสรรพคุณอะไรบ้าง?

  • สารสกัด ลูกซัด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การศึกษาหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า ลูกซัดช่วยลดน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการชะลอการดูดซึมน้ำตาล และกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ​
  • ส่งเสริมการผลิตน้ำนม ในมารดาหลังคลอด: มีการใช้ลูกซัด เพื่อกระตุ้นการผลิตน้ำนม ในมารดาหลังคลอด แม้ว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อยืนยันประสิทธิภาพ ​
  • บรรเทาอาการปวดประจำเดือน: การบริโภคลูกซัด ช่วยลดความรุนแรง ของอาการปวดประจำเดือน ในผู้หญิงบางคน
  • ลดระดับคอเลสเตอรอล: มีหลักฐานบางอย่าง ที่ชี้ว่าลูกซัด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมและ LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) ซึ่งเป็นประโยชน์ ต่อสุขภาพหัวใจ ​
  • เพิ่มระดับเทสโทสเตอโรน และสุขภาพทางเพศ ในผู้ชาย: การศึกษาบางฉบับ แสดงว่าลูกซัด ช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรน และปรับปรุงความต้องการทางเพศในผู้ชาย ​
  • คุณสมบัติต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระ: ลูกซัดมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดการอักเสบ และปกป้องเซลล์ จากความเสียหาย ​
  • ช่วยในการ ควบคุมน้ำหนัก : มีการศึกษาที่ชี้ ว่าลูกซัดช่วยลดความอยากอาหาร และเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ซึ่งอาจช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ​

 ที่มา: Fenugreek Uses, Side Effects, and More [1]

รูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลูกซัด

ในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ ที่มีส่วนผสมของ สารสกัด ลูกซัด เช่น

  • แคปซูลหรือเม็ด: สะดวกในการบริโภค และควบคุมปริมาณ
  • ผงละลายน้ำ: มักใช้ผสมกับเครื่องดื่มสมุนไพร หรืออาหารสุขภาพ
  • ชาสมุนไพร: นิยมใช้เมล็ดคั่ว เพื่อชงเป็นชา ลดน้ำตาล และบรรเทาท้องอืด

ผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่หลังคลอด: เช่นชาสมุนไพร เพิ่มน้ำนม ที่มีลูกซัดเป็นส่วนประกอบหลัก

ข้อแนะนำบริโภคลูกซัด

  • เลือกชนิดผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: เช่นเมล็ดลูกซัดแห้ง ควรนำมาแช่น้ำข้ามคืน แล้วดื่มน้ำ และเคี้ยวเมล็ดในตอนเช้า ผงลูกซัดใช้ผสมกับน้ำอุ่น รับประทานก่อนมื้ออาหาร สารสกัด ลูกซัด ชนิดแคปซูล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปริมาณที่แน่นอน และรับประทานง่าย ชาลูกซัด ใช้เมล็ดคั่วชงดื่ม มีฤทธิ์อ่อน เหมาะกับการเริ่มต้น
  • ปริมาณที่แนะนำ: เมล็ดแห้ง 5–25 กรัม/วัน แบ่งรับประทาน 2–3 ครั้ง สารสกัดแคปซูล 500–1000 มิลลิกรัม/ครั้ง วันละ 1–2 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารสกัด) น้ำแช่เมล็ด ใช้เมล็ด 1–2 ช้อนชา แช่ในน้ำ 1 แก้วค้างคืน ดื่มตอนเช้า ควรเริ่มจากปริมาณน้อย ในสัปดาห์แรก เพื่อดูการตอบสนองของร่างกาย
  • การเก็บรักษา: ควรเก็บเมล็ด หรือผงลูกซัด ไว้ในภาชนะปิดสนิท หลีกเลี่ยงแสงแดด ความชื้น และความร้อน เพื่อรักษาคุณภาพของสารสำคัญ
  • คำแนะนำเพิ่มเติม: ห้ามใช้ เกินขนาด ที่ระบุในฉลากหรือคำแนะนำของแพทย์ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นเบาหวาน โรคหัวใจ หรือผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ หลีกเลี่ยงการใช้ใน หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจกระตุ้น การหดตัวของมดลูก

งานวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับลูกซัด

International Journal for Vitamin and Nutrition Research (2010)

งานวิจัยฉบับนี้พบว่า การทานผงลูกซัด วันละ 10 กรัม ร่วมกับมื้ออาหารเช้า และเย็น มีผลช่วยลดระดับกลูโคสในเลือดหลังอาหารในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยสารที่มีบทบาทสำคัญ คือ galactomannan ซึ่งช่วยชะลอการดูดซึมกลูโคสในระบบทางเดินอาหาร และ 4-hydroxyisoleucine ที่กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน

Journal of Diabetes and Metabolic Disorders (2014)

งานวิจัยเปรียบเทียบการใช้ สารสกัดลูกซัด ร่วมกับยาเมตฟอร์มิน พบว่า กลุ่มที่ได้รับลูกซัดร่วมด้วย สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่า กลุ่มที่ได้รับเมตฟอร์มิน เพียงอย่างเดียว โดยมีผลในการปรับค่ากลูโคสในเลือด ให้อยู่ในระดับปกติเร็วขึ้น และลดความเสี่ยง ของภาวะแทรกซ้อน จากเบาหวานในระยะยาว

Journal of Complementary and Integrative Medicine

ในงานวิจัยชิ้นนี้ กลุ่มอาสาสมัคร ที่รับประทาน สารสกัดลูกซัดชนิดแคปซูล ขนาด 1 กรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 3-6 เดือน พบว่า ระดับ HbA1c ลดลงประมาณ 0.5-1.0% ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพ ในการควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ย ในเลือดระยะยาว โดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง

สรุป ลูกซัดควบคุมน้ำตาลในเลือด

สารสกัดลูกซัดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกธรรมชาติ ที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาแนวทางควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หรือเสริมสุขภาพโดย ด้วยสารสำคัญที่หลากหลาย กลไกที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของอินซูลิน ระบบย่อยอาหาร ไปจนถึงการบำรุงร่างกายในด้านต่างๆ

ลูกซัดควรกินตอนไหน?

เวลาที่เหมาะสมในการรับประทานลูกซัด สามารถทำได้ในหลายช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ในการใช้งาน และความสะดวก ของแต่ละบุคคล มีคำแนะนำทั่วไป ดังนี้

  • ก่อนมื้ออาหาร: การบริโภคผงลูกซัด ประมาณ 5 กรัม วันละสองครั้ง ก่อนมื้ออาหาร ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ​
  • ตอนเช้า ขณะท้องว่าง: บางแหล่งแนะนำ ให้ดื่มน้ำลูกซัด (น้ำที่แช่เมล็ดลูกซัดค้างคืน) ในตอนเช้า ขณะท้องว่าง เพื่อช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ที่มา: Role of Fenugreek in the prevention of type 2 diabetes mellitus in prediabetes [2]

อาการแพ้ลูกซัดมีอะไรบ้าง?

การแพ้ลูกซัดเป็นอาการที่พบได้น้อย แต่สามารถเกิดขึ้น ได้ในบางคน อาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น มีดังนี้

  • อาการทางผิวหนัง: ผื่นลมพิษ (urticaria) หรืออาการคันตามร่างกาย ​
  • อาการทางระบบทางเดินหายใจ: จาม น้ำมูกไหล หายใจลำบาก หรือหอบหืด ​
  • อาการบวม: บวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือคอ ซึ่งอาจทำให้หายใจลำบาก ​
  • อาการทางระบบทางเดินอาหาร: ปวดท้อง คลื่นไส้ หรืออาเจียน ​
  • อาการรุนแรง (Anaphylaxis): ในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดภาวะช็อก จากการแพ้ ซึ่งเป็นอาการที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ​

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าผู้ที่แพ้ถั่วลิสง หรือถั่วชนิดอื่นๆ อาจมีความเสี่ยง ต่อการแพ้ลูกซัด เนื่องจากการเกิดปฏิกิริยาข้าม ระหว่างโปรตีน ในพืชตระกูลถั่ว ​[3]

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง