วิตามิน E มีกี่ชนิด ความแตกต่าง และมีประโยชน์ยังไง?

วิตามิน E มีกี่ชนิด

วิตามิน E มีกี่ชนิด คำถามนี้อาจเป็นสิ่งที่หลายคนสงสัย โดยเฉพาะผู้ที่ให้ความสำคัญ กับการดูแลสุขภาพ และผิวพรรณ วิตามินอีเป็นหนึ่งในสารอาหาร ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีบทบาทสำคัญ ในการช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ ส่งเสริมความชุ่มชื้นของผิว และบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง

สารประกอบวิตามินอีคืออะไร?

วิตามินอีเป็นกลุ่มของสารประกอบ ที่ละลายในไขมัน มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกาย จากความเสียหายของอนุมูลอิสระ วิตามินอีมีอยู่ 8 รูปแบบ แต่ที่พบมาก และมีบทบาทสำคัญในร่างกายคือ แอลฟา-โทโคฟีรอล (Alpha-Tocopherol) ซึ่งเป็นรูปแบบหลัก ที่ร่างกายนำไปใช้

วิตามินอีมีกี่ชนิดแต่ละชนิดต่างกันยังไง?

วิตามินอีมีกี่ชนิดวิตามินอีถูกแบ่งออกเป็น 8 ชนิดหลัก ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่โทโคฟีรอล (Tocopherols) และโทโคไตรอีนอล (Tocotrienols)

กลุ่มโทโคฟีรอล เป็นรูปแบบที่พบมากในอาหาร และเป็นชนิดของวิตามินอี ที่ร่างกายนำไปใช้ได้ง่าย โดยเฉพาะ อัลฟา-โทโคฟีรอล ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และมีบทบาทสำคัญที่สุด

  • อัลฟา-โทโคฟีรอล (Alpha-Tocopherol) เป็นรูปแบบหลักที่ร่างกายใช้ได้ดีที่สุด และเป็นชนิดที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ จากความเสียหาย ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ พบมากใน น้ำมันพืช (น้ำมันมะกอก, น้ำมันดอกทานตะวัน), ถั่วอัลมอนด์, ผักใบเขียว
  • เบต้า-โทโคฟีรอล (Beta-Tocopherol) พบในปริมาณน้อยกว่าอัลฟา-โทโคฟีรอล มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน แต่ไม่ค่อยมีบทบาททางชีวภาพมากนัก
  • แกมมา-โทโคฟีรอล (Gamma-Tocopherol) พบมากใน น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันข้าวโพด มีบทบาทในการช่วยลดการอักเสบในร่างกาย แต่ร่างกายใช้ได้ไม่ดีเท่ากับอัลฟา-โทโคฟีรอล
    เดลต้า-โทโคฟีรอล (Delta-Tocopherol) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง พบมากใน น้ำมันจากพืชบางชนิด เช่นน้ำมันรำข้าว และน้ำมันเมล็ดฝ้าย

กลุ่มโทโคไตรอีนอล เป็นอีกกลุ่มหนึ่งของวิตามินอี ที่มีโครงสร้างทางเคมี ที่แตกต่างจากโทโคฟีรอล ทำให้สามารถแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ได้ดีกว่าในบางกรณี มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล แต่ร่างกายนำไปใช้ได้ยากกว่ากลุ่มโทโคฟีรอล

  • อัลฟา-โทโคไตรอีนอล (Alpha-Tocotrienol) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่ากลุ่มโทโคฟีรอล พบในน้ำปาล์มและน้ำมันรำข้าว
  • เบต้า-โทโคไตรอีนอล (Beta-Tocotrienol) มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์จากความเสียหาย พบในปริมาณน้อยในธรรมชาติ
  • แกมมา-โทโคไตรอีนอล (Gamma-Tocotrienol) มีคุณสมบัติช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และป้องกันโรคหัวใจ พบใ น้ำมันรำข้าว และน้ำมันปาล์ม
  • เดลต้า-โทโคไตรอีนอล (Delta-Tocotrienol) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง และช่วยลดการอักเสบ พบในน้ำมันรำข้าวและน้ำมันปาล์ม

ที่มา: Vitamin E [1]

แหล่งอาหารอะไรบ้างที่มีวิตามินอี?

วิตามิน E มีกี่ชนิด

วิตามินอีพบได้ในอาหารจากธรรมชาติหลายชนิด ได้แก่

  • ถั่วและเมล็ดพืช: อัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดทานตะวัน
  • น้ำมันพืช: น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกทานตะวัน
  • ผักใบเขียว: ผักโขม คะน้า บรอกโคลี
  • ผลไม้: อะโวคาโด มะม่วง กีวี
  • ปลาและอาหารทะเล: ปลาแซลมอน ปลาทูน่า

คุณประโยชน์วิตามินอีมีอะไรบ้าง?

  • ต้านอนุมูลอิสระและชะลอวัย วิตามินอีช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย และโรคเสื่อมต่างๆ เช่นอัลไซเมอร์ และมะเร็งบางชนิด
  • บำรุงผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น: วิตามินอีทำหน้าที่เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ตามธรรมชาติ ช่วยให้ผิวนุ่ม และลดความแห้งกร้าน
  • ลดการอักเสบของผิว: มีคุณสมบัติลดอาการอักเสบ และช่วยฟื้นฟูผิวจากการโดนแสงแดด
  • ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น: พบว่าวิตามินอีสามารถช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว หรือการผ่าตัดได้
  • บำรุงเส้นผม ช่วยให้ผมแข็งแรง: วิตามินอีช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังหนังศีรษะ กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
  • ลดผมขาดหลุดร่วง: การบริโภควิตามินอีในปริมาณที่เหมาะสมช่วยลดการขาดหลุดร่วงของเส้นผม
  • เพิ่มความเงางามให้เส้นผม: วิตามินอีมีบทบาทในการเคลือบเส้นผม ช่วยให้ผมดูสุขภาพดีและเงางามมากขึ้น
  • บำรุงเล็บให้แข็งแรง วิตามินอีช่วยให้เล็บมีความชุ่มชื้น ลดปัญหาเล็บเปราะหักง่าย และป้องกันเชื้อราที่อาจเกิดขึ้นได้
  • บำรุงหัวใจ หลอดเลือด วิตามินอีช่วยลดการออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน มีส่วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ วิตามินอีช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น

ผลข้างเคียงการทานวิตามินอีมากเกิน

  • ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ อาจเกิดอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และ ปวดท้อง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถดูดซึม และกำจัดวิตามินอีส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • อาการอ่อนเพลีย และเวียนศีรษะ การได้รับวิตามินอีในปริมาณสูงอาจทำให้เกิด อาการมึนงง อ่อนเพลีย และปวดศีรษะ ซึ่งอาจรบกวนการทำกิจกรรมประจำวัน
  • ตาพร่า และการมองเห็นผิดปกติ วิตามินอีมากเกินไปอาจส่งผลต่อระบบประสาทตา ทำให้เกิดอาการ ตาพร่า หรือมองเห็นไม่ชัด ได้ในบางกรณี
  • เลือดออกง่ายผิดปกติ วิตามินอีมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือด หากได้รับมากเกินไปอาจทำให้ เลือดออกง่ายหรือหยุดไหลยาก ซึ่งเป็นอันตราย โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะเลือดจาง หรือกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกในสมอง การได้รับวิตามินอีในปริมาณสูงเป็นระยะเวลานานอาจเพิ่มโอกาสเกิด ภาวะเลือดออกในสมอง (hemorrhagic stroke) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ในบางกรณี วิตามินอีในระดับสูงอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ส่งผลให้ร่างกายติดเชื้อง่ายขึ้น
  • รบกวนการทำงานของยา วิตามินอีสามารถมีปฏิกิริยากับยาหลายชนิด เช่นยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาลดไขมันในเลือด และยาเคมีบำบัด ซึ่งอาจทำให้ยาเหล่านี้มีประสิทธิภาพลดลงหรือเกิดผลข้างเคียงเพิ่มขึ้น

ความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับวิตามินอี

วิตามินอีเป็นอาหารเสริมที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพผิวและเส้นผม โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนเองมีประสบการณ์ในการรับประทานอาหารเสริมวิตามินอีมาแล้ว หากพูดถึงผลลัพธ์โดยรวม พบว่าผิวมีความชุ่มชื้นขึ้นเล็กน้อย เส้นผมที่ขึ้นใหม่ดูแข็งแรง และเงางาม 

โดยรับประทานต่อเนื่องกันเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน แต่ไม่ได้รับประทานวิตามินอีเพียงอย่างเดียว โดยทานร่วมกับอาหารเสริมอื่นๆ เช่น วิตามินซี คอลลาเจน Sync วิตามินบี และอื่นๆ จึงไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าวิตามินอีเป็นปัจจัยหลัก ที่ช่วยดูแลสุขภาพผิวและเส้นผมอย่างครอบคลุม

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลหลายแหล่ง วิตามินอีมีประโยชน์ต่อร่างกายจริง โดยเฉพาะในด้านการบำรุงผิวพรรณ และปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ และหากรับประทานร่วมกับอาหารเสริมชนิดอื่น ที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างปลอดภัย ก็อาจช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินอีได้มากยิ่งขึ้น

สรุป วิตามินอี สารอาหารบำรุงผิว ผม เล็บ

วิตามินอีเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยมีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพผิว ผม เล็บ หัวใจ และระบบภูมิคุ้มกัน แม้ว่าสามารถได้รับจากอาหารตามธรรมชาติ แต่การเสริมวิตามินอีในรูปแบบอาหารเสริม อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบางคน อย่างไรก็ตาม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

วิตามินอีควรกินวันละกี่ mg.?

ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำต่อวัน มีดังนี้

  • ผู้ใหญ่: 15 มิลลิกรัม (mg) หรือประมาณ 22.4 หน่วยสากล
  • หญิงตั้งครรภ์: 15 มิลลิกรัม (mg)
  • หญิงให้นมบุตร: 19 มิลลิกรัม (mg) หรือประมาณ 28.4 International Unit

ที่มา: วิตามินอีคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร [2]

 

วิตามินอีไม่ควรกินเกินกี่ IU?

ปริมาณสูงสุดที่แนะนำต่อวัน ผู้ใหญ่ไม่ควรได้รับวิตามินอี เกิน 1,000 IU ต่อวัน (รูปแบบ สังเคราะห์ หรือ dl-alpha-tocopherol) หากเป็นวิตามินอีจากธรรมชาติ (d-alpha-tocopherol) ปริมาณสูงสุดที่แนะนำคือ ประมาณ 670 หน่วยสากลต่อวัน [3]

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง