วิตามินอี สารอาหารส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณ

วิตามินอี

วิตามินอี เป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญ ที่มีบทบาทสำคัญ ในการดูแลสุขภาพ และความงามมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนให้ความสนใจ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพผิวพรรณ และการชะลอวัย วิตามินอีถูกขนานนามว่าเป็นวิตามินแห่งความงาม และการปกป้องผิวจากมลภาวะต่างๆ ในบทความนี้ จะพาไปรู้จักกับวิตามินอีในแง่มุมต่างๆ

วิตามินอี คืออะไร มีกี่กลุ่มหลัก

วิตามินอีเป็นสารอาหาร ที่ละลายในไขมัน ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ภายในร่างกาย ช่วยปกป้องเซลล์ จากความเสียหาย ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณ ให้ดูอ่อนเยาว์ วิตามินอีแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่

Tocopherols มี 4 ชนิดย่อย คือ

  • Alpha-Tocopherol: เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุดในอาหาร และร่างกาย ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และมีบทบาทสำคัญ ในการต้านอนุมูลอิสระ
  • Beta-Tocopherol: มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า Alpha
  • Gamma-Tocopherol: พบมากในน้ำมันพืช มีศักยภาพในการต้านการอักเสบ และต้านมะเร็ง
  • Delta-Tocopherol: มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันเซลล์จากความเสียหาย

Tocotrienols มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับ Tocopherols แต่มีสายโซ่ไม่อิ่มตัว ทำให้มีความสามารถในการแทรกซึม เข้าสู่เยื่อหุ้มเซลล์ได้ดีกว่า คุณสมบัติเด่นคือลดระดับ LDL ป้องกันความเสียหายของเซลล์สมอง ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยลดการอักเสบ และสนับสนุนสุขภาพหัวใจ

อาหารทั่วไป แหล่งที่มาของ วิตามินอี

วิตามินอี

วิตามินอีพบได้ทั้งในอาหารจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยแหล่งอาหาร ที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ได้แก่

  • น้ำมันพืช เช่นน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว
  • ถั่วและเมล็ดพืช เช่นอัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน และถั่วลิสง
  • ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า และบรอกโคลี
  • ผลไม้เช่น Avocado มะม่วง และ Kiwi
  • ปลาและอาหารทะเล เช่นปลาแซลมอน และกุ้ง

กินวิตามินอีเพื่ออะไร

วิตามินอีเป็นสารอาหาร ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในหลายด้านของสุขภาพ ดังนี้

  • วิตามินอีช่วยบำรุงผิวพรรณ: เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดการอักเสบ ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: ช่วยกระตุ้นการทำงาน ของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกาย สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น
  • ป้องกันโรคหัวใจ: วิตามินอีมีส่วนช่วยลดการเกิดลิ่มเลือด และการอุดตันของเส้นเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยง ของโรคหัวใจ
  • บำรุงสายตา: มีการศึกษาที่ชี้ว่า วิตามินอีอาจช่วยลดความเสี่ยง ของโรคจุดรับภาพเสื่อม ในผู้สูงอายุ
  • ป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง: ช่วยรักษาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง และป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจาง

ที่มา: วิตามินอีประโยชน์ดียังไง พร้อมเช็กอาหารที่มีวิตามินอีสูง [1]

วิตามินอี กินตอนไหนดีที่สุด ข้อแนะนำ

วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน การรับประทานพร้อมมื้ออาหาร ที่มีไขมันเล็กน้อย จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีที่สุด ดังนั้นควรรับประทานวิตามินอี ร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เช่นนม โยเกิร์ต ถั่วต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีข้อแนะนำต่างๆ ดังนี้

  • การรับประทานวิตามินอีหลังมื้ออาหารทันที จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น
  • ปริมาณที่แนะนำต่อวัน ผู้ใหญ่ควรได้รับประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน (22.4 IU)
  • การเสริมอาหาร ควรเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีมาตรฐาน และหลีกเลี่ยงการบริโภคเกินขนาด

นอกจากนี้ วิตามินอีสามารถทานร่วมกับ คอลลาเจนไดเปปไทด์ เพื่อช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิว  ลดริ้วรอย และเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยปกป้องเซลล์ผิว จากอนุมูลอิสระ และเสริมประสิทธิภาพการฟื้นฟูผิวได้ดียิ่งขึ้น

ที่มา: วิตามินต่าง ๆ ควรกินตอนไหน [2]

 

ถ้าร่างกายขาด วิตามินอี จะเกิดอะไรขึ้น

การขาดวิตามินอี เป็นภาวะที่พบได้น้อย เนื่องจากวิตามินอี มีอยู่ในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะน้ำมันพืชและถั่วต่างๆ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี ที่ร่างกายมีปัญหาในการดูดซึมไขมัน หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินอีได้ อาการและผลกระทบ ของการขาดวิตามินอี ดีดังนี้

  • ระบบประสาท และกล้ามเนื้อ: อาจเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียการรับรู้ความรู้สึก และมีปัญหาในการทรงตัว
  • ระบบภูมิคุ้มกัน: ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายเสี่ยง ต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น
  • เม็ดเลือดแดง: เม็ดเลือดแดงอาจแตกง่ายขึ้น นำไปสู่ภาวะโลหิตจาง
  • ผิวหนัง: ผิวอาจแห้งกร้าน และเกิดผื่นแดงได้

การขาดวิตามินอี มักเกิดในผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมไขมัน เช่นผู้ที่มีโรคตับ ตับอ่อน หรือโรคลำไส้บางชนิด หากสงสัยว่าตนเองอาจขาดวิตามินอี ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัย และรับคำแนะนำในการรับประทานอาหาร หรือเสริมวิตามินอีให้เหมาะสม [3]

ผลข้างเคียงของ วิตามินอี และข้อควรระวัง

วิตามินอีเป็นสารอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป หรือไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง และมีข้อควรระวัง ดังนี้

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

  • อาการทั่วไป: การรับประทานวิตามินอีในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ และมองเห็นไม่ชัด
  • ความเสี่ยงต่อการตกเลือด: วิตามินอีมีฤทธิ์ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด การบริโภคในปริมาณมาก อาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการตกเลือด หรือเลือดออกง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินเค
  • ปฏิกิริยากับยาอื่น: วิตามินอีอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่นยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Warfarin) ทำให้เพิ่มความเสี่ยง ต่อการตกเลือด

ข้อควรระวังในการใช้วิตามินอี

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว: ผู้ที่มีโรคหัวใจ เบาหวาน หรือภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนรับประทานวิตามินอีเสริม
  • การผ่าตัด: หากมีกำหนดการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานวิตามินอี ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันปัญหา การแข็งตัวของเลือด
  • การตั้งครรภ์ และให้นมบุตร: ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนรับประทานวิตามินอีเสริม เพื่อความปลอดภัยของมารดา และทารก
  • เพื่อความปลอดภัย ควรรับประทานวิตามินอี ในปริมาณที่เหมาะสม และปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนเริ่มการเสริมวิตามินอี โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัว หรือกำลังใช้ยาประจำอยู่

สรุป วิตามินอีเป็น บทบาทต่อสุขภาพ และผิวพรรณ

วิตามินอีเป็นสารอาหาร ที่มีความสำคัญต่อสุขภาพ และความงาม มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และส่งเสริมสุขภาพหัวใจ อย่างไรก็ตาม การบริโภควิตามินอี ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมการเลือกแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี จะช่วยดูแลสุขภาพโดยรวม ให้แข็งแรงและสมดุลในระยะยาว

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน
Picture of Wellness Whisperer
Wellness Whisperer

แหล่งอ้างอิง