
ผักอะไรที่มี Vitamin K สูง คำถามนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ สำหรับใครที่ใส่ใจสุขภาพอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับอาหาร และโภชนาการมากขึ้น ผักจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องเคียงในจานอาหาร แต่กลายเป็นแหล่งของสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยดูแลระบบต่างๆในร่างกาย
วิตามินเค เป็นวิตามินในกลุ่ม วิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของโปรตีนหลายชนิดในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด และการสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูก และหลอดเลือด การค้นพบวิตามินเค มีขึ้นในปี ค.ศ. 1929 โดย Henrik Dam นักชีวเคมีชาวเดนมาร์ก
ขณะศึกษาเรื่อง Metabolism ของคอเลสเตอรอลในไก่ ที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่ไม่มีไขมัน พบว่าไก่มีอาการเลือดออก ภายหลังวิเคราะห์ว่า เป็นผลจากการขาดสารบางอย่าง ซึ่งต่อมาถูกตั้งชื่อว่า Koagulation vitamin หรือวิตามินเค ตามคำว่า koagulation แปลว่าการแข็งตัว ในภาษาเดนมาร์ก และเยอรมัน
ต่อมาใน ปี ค.ศ. 1939 นักเคมีชาวอเมริกัน Edward Adelbert Doisy ประสบความสำเร็จ ในการสังเคราะห์วิตามินเค ได้อย่างสมบูรณ์ Henrik Dam และ Edward Doisy ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสรีรวิทยา หรือการแพทย์ในปี 1943 จากผลงานค้นพบวิตามินเค และโครงสร้างทางเคมีของมัน (30 กรกฎาคม 2025) [1]
ที่มา: Vitamin-K (29 มีนาคม 2021) [2]
ที่มา: 20 Foods That Are High in Vitamin-K (4 พฤศจิกายน 2024) [3]
ปริมาณวิตามินเค ที่แนะนำต่อวัน ผู้ใหญ่ทั่วไปควรได้รับวิตามินเค ประมาณ 90–120 ไมโครกรัม (µg) ต่อวัน เพื่อช่วยให้การแข็งตัวของเลือด และสุขภาพกระดูก อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ไม่มีการกำหนดค่าขีดสูงสุดที่ปลอดภัย (Upper Intake Level) สำหรับวิตามินเค เนื่องจากไม่พบหลักฐานว่าการบริโภคในปริมาณสูง ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ (7 มิถุนายน 2024) [3]
วิตามินเคเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ดังนั้นการบริโภคผักที่มีวิตามินเค ร่วมกับไขมันดี เช่นน้ำมันมะกอก Avocado หรือถั่วต่างๆ จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น เช่น:
หากกำลังมองหาแหล่งวิตามินเคจากธรรมชาติ คำตอบที่ดีที่สุด อยู่ในผักใบเขียวเข้มหลากหลายชนิด โดยเฉพาะคะน้า ผักโขม ซึ่งให้ปริมาณวิตามินเคสูงมาก เมื่อเทียบกับความต้องการในแต่ละวัน ควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอ ในปริมาณที่พอเหมาะ ควบคู่กับไขมันดีในมื้ออาหาร
ผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรควบคุมปริมาณการรับประทานวิตามินเคให้คงที่ เพราะอาจมีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา ไม่ควรขาดหรือได้รับมากเกินไป หากขาดวิตามินเค จะทำให้เลือดแข็งตัวยาก แต่การได้รับมากเกิน ก็ไม่ได้หมายถึงจะยิ่งดี เพราะวิตามินเคเป็นวิตามินที่สะสมในร่างกายได้
วิตามินเคไม่ควรรับประทานร่วมกับยา วาร์ฟาริน (Warfarin) หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือดอื่นๆ เพราะวิตามินเค จะลดประสิทธิภาพของยาเหล่านี้ ในการป้องกันการเกิดลิ่มเลือด นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงการรับวิตามินเคในปริมาณมาก ร่วมกับอาหารเสริม หรือวิตามินรวมที่มีวิตามินอีสูงเกินไป