
ผักอะไรที่มี Vitamin E สูง อาจฟังดูเป็นคำถามที่คนทั่วไป ไม่ค่อยหยิบยกขึ้นมาพูดบ่อยนัก เพราะเมื่อพูดถึงวิตามินอี หลายคนมักนึกถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือครีมบำรุงผิวเป็นหลัก ทั้งที่ในความเป็นจริง วิตามินอี เป็นสารอาหารสำคัญ ที่สามารถพบได้จากผักทั่วไปในชีวิตประจำวัน และมีบทบาทต่อการทำงานของร่างกาย
วิตามินอี (Vitamin E) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และจัดอยู่ในกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ มีบทบาทในการปกป้องเซลล์ในร่างกาย ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญ ของความเสื่อมถอย ของระบบต่างๆ และการเกิดโรคเรื้อรัง วิตามินอีมีทั้งหมด 8 รูปแบบหลัก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
กลุ่ม 1 Tocopherols เป็นกลุ่มที่พบได้มากในอาหาร และมีบทบาทหลัก ในการต้านอนุมูลอิสระ
กลุ่ม 2: Tocotrienols มีโครงสร้างคล้ายโทโคฟีรอล แต่ต่างกันตรงที่สายข้างเป็นแบบไม่อิ่มตัว ซึ่งอาจช่วยให้ซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ดีกว่า
ที่มา: Vitamin E (21 มีนาคม 2025) [1]
ที่มา: 30+ Foods That Are High in Vitamin E (29 มีนาคม 2024) [2]
ความต้องการวิตามินอีในแต่ละวันมีดังนี้
วิตามินอีในรูปแบบ alpha‑tocopherol ถือเป็นรูปแบบที่ร่างกายนำไปใช้ได้ โดยค่า RDA ดังกล่าวครอบคลุมทั้งจากอาหารธรรมชาติ และสารเสริม นอกจากนี้ ยังมีเกณฑ์ความปลอดภัย สำหรับผู้ใหญ่คือ 1,000 มก./วัน ซึ่งเทียบเท่า 1,500 IU สำหรับวิตามินอีรูปธรรมชาติหรือ 1,100 IU สำหรับรูปสังเคราะห์ (22 มีนาคม 2021) [3]
ผักที่มีวิตามินอีสูง เช่นผักโขม คะน้า บรอกโคลี และผักกาดหอม ไม่เพียงให้คุณค่าทางโภชนาการหลากหลาย แต่ยังเป็นแหล่งวิตามินอีธรรมชาติที่ปลอดภัย และดีต่อสุขภาพ การรับประทานร่วมกับไขมันดีในปริมาณพอเหมาะ และการปรุงด้วยความร้อนต่ำ จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินอีได้ดียิ่งขึ้น
วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน การรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไขมันดี จะช่วยเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างของไขมันดี เช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา avocado ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืชต่างๆ
การขาดวิตามินอีอาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ระบบประสาทผิดปกติ การทรงตัวเสีย สมองเสื่อมเร็วขึ้น รวมถึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงในระยะยาว ผู้ใหญ่ที่มีภาวะดูดซึมไขมันผิดปกติ อาจเกิดภาวะขาดวิตามินอีได้ ในเด็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการ ของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ