
รู้ไว้ก่อน ผักอะไรที่มี Phorbol ester สูง
- Fiona
- 18 views

ผักอะไรที่มี Phorbol ester สูง เป็นคำถามที่อาจฟังดูเหมือนเรื่องไกลตัว แต่จริงๆแล้วเกี่ยวกับความปลอดภัย ของอาหารที่เรากิน ฟอร์บอลเอสเทอร์เป็นสารธรรมชาติ ที่พืชบางชนิดสร้างขึ้น แต่สำหรับมนุษย์ กลับอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพได้ หากได้รับมากเกินไป จึงเป็นประเด็นที่ผู้รักสุขภาพ ควรทำความเข้าใจไว้
- ผักที่มีฟอร์บอลเอสเทอร์สูง
- ประโยชน์ของฟอร์บอลเอสเทอร์
- พิษของฟอร์บอลเอสเทอร์
ประวัติ ของฟอร์บอลเอสเทอร์
ฟอร์บอลเอสเทอร์ ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1934 โดยนักเคมีชาวสวิส Bonifaz Flaschenträger และ Rudolf von Wolffersdorff ซึ่งสามารถแยกสารออกฤทธิ์ จากน้ำมันของพืช Croton tiglium ที่ใช้ในแพทย์แผนจีนมานานหลายศตวรรษ การค้นพบนี้ ทำให้เริ่มมีความเข้าใจว่า สารบางชนิดในน้ำมันพืช สามารถกระตุ้นการอักเสบได้อย่างรุนแรง
ต่อมาในปี 1967 นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุ และอธิบายโครงสร้างของสาร Phorbol ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญ ในการศึกษาสารกลุ่มนี้ ในเวลาต่อมา ในช่วงทศวรรษ 1980 การค้นพบที่สำคัญอีกครั้ง เกิดขึ้นเมื่อพบว่าสารฟอร์บอลเอสเทอร์ สามารถกระตุ้นเอนไซม์ Protein Kinase C (PKC)
ซึ่งมีบทบาท ในกระบวนการส่งสัญญาณของเซลล์ และการเจริญเติบโต ทำให้วงการวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า สารนี้มีฤทธิ์เป็น tumour promoter โดยเฉพาะสารที่รู้จักกันดีอย่าง TPA ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือวิจัยสำคัญ ในการศึกษากลไกการเกิดมะเร็ง และการอักเสบของเซลล์ ในห้องทดลองทั่วโลก (24 พฤษภาคม 2025) [1]
ผักอะไรที่มีฟอร์บอลเอสเทอร์สูง?

- เมล็ดสบู่ดำ แม้ไม่ใช่ ผัก เพื่อสุขภาพ ทั่วไป แต่มีฟอร์บอลเอสเทอร์สูงที่สุดในบรรดาพืช โดยเฉลี่ยประมาณ 1,500–6,000 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ของน้ำหนักแห้ง สารนี้เป็นพิษ ต่อระบบทางเดินอาหาร และตับอย่างรุนแรง จึงไม่ควรรับประทานโดยตรง เมล็ดสบู่ดำ มักถูกใช้ในอุตสาหกรรม ผลิตไบโอดีเซล มากกว่าการบริโภค
- ใบสบู่ดำ แม้ปริมาณจะน้อยกว่าเมล็ด แต่ยังคงมีฟอร์บอลเอสเทอร์ในระดับ ประมาณ 200–400 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมแห้ง การกินใบอ่อน หรือชาสมุนไพร จากพืชชนิดนี้ อาจก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ หรืออักเสบ ในกระเพาะอาหารได้
- มันสำปะหลังป่า พบฟอร์บอลเอสเทอร์ในระดับ 100–200 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม โดยเฉพาะในส่วนของใบ และเปลือกราก สารนี้ทำให้พืชมีรสขม และอาจเกิดพิษหากกินดิบ
- พืชสกุล Euphorbia เช่นพญาไร้ใบ มีฟอร์บอลเอสเทอร์ประมาณ 50–100 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมแห้ง ยางสีขาวขุ่นจากต้นนี้ มักทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง และเยื่อบุตา จึงไม่ควรสัมผัสโดยตรง
- ใบมันสำปะหลัง โดยทั่วไปมีฟอร์บอลเอสเทอร์ ในปริมาณต่ำมาก น้อยกว่า 10 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม แต่หากบริโภคดิบ หรือไม่ผ่านการต้ม อาจสะสมสารพิษ ร่วมกับไซยาไนด์ได้ จึงควรต้มทิ้งน้ำก่อนกิน
ประโยชน์ฟอร์ของบอลเอสเทอร์
- ใช้ในการวิจัยมะเร็ง และชีวเคมีของเซลล์ ฟอร์บอลเอสเทอร์เช่น 12-O-tetradecanoylphorbol-13-acetate ถูกใช้เป็นสารกระตุ้น protein kinase C เพื่อศึกษากลไกการแบ่งตัว และสัญญาณภายในเซลล์ ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจขั้นตอนการเกิดมะเร็งมากขึ้น
- ใช้เป็นเครื่องมือศึกษา การส่งสัญญาณของเซลล์ สารนี้เป็นโมเดลสำคัญ ในงานวิจัย ด้านชีววิทยาโมเลกุล เพราะสามารถกระตุ้น การตอบสนองของเซลล์ ได้ใกล้เคียง กับสารสื่อชีวภาพ ตามธรรมชาติอย่าง diacylglycerol
- มีศักยภาพ ในการพัฒนาเป็นยาต้านไวรัสบางชนิด งานวิจัยบางชิ้นพบว่าฟอร์บอลเอสเทอร์ บางรูปแบบสามารถกระตุ้น ให้ไวรัสแฝงเช่น HIV แสดงตัวออกมา ทำให้สามารถถูกทำลาย ด้วยยาต้านไวรัสได้ง่ายขึ้น
- ใช้เป็นตัวแบบ ในการพัฒนาสารออกฤทธิ์ ทางชีวภาพใหม่ เนื่องจากโครงสร้าง ของฟอร์บอลเอสเทอร์เป็น diterpene ที่ซับซ้อน นักวิจัยใช้เป็นต้นแบบ ในการสังเคราะห์สารอนุพันธ์ที่ลดพิษ แต่ยังคงฤทธิ์ทางชีวภาพ เช่นสารต้านอักเสบ หรือต้านมะเร็ง
- มีบทบาทในการศึกษาพิษวิทยา และความปลอดภัยของพืช ข้อมูลจากการทดสอบ ฟอร์บอลเอสเทอร์ช่วยให้นักวิจัย ออกแบบกระบวนการกำจัดพิษ ในน้ำมันสบู่ดำ และผลพลอยได้อื่นๆ เพื่อให้ปลอดภัยต่อคน และสัตว์มากขึ้น
พิษของฟอร์บอลเอสเทอร์คืออะไร?
- ระคายเคืองต่อผิวหนัง และเยื่อเมือก สารนี้ทำให้เกิดอาการแสบร้อน แดง และพอง เมื่อสัมผัสโดยตรงกับผิวหนัง หรือดวงตา เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการอักเสบ อย่างรุนแรง
- ทำลายระบบทางเดินอาหาร เมื่อรับประทานเข้าไป อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือเลือดออกในกระเพาะและลำไส้ เนื่องจากสารมีฤทธิ์กัดกร่อน และกระตุ้นการหลั่งของกรด ในระบบทางเดินอาหาร
- เป็นพิษต่อตับ และไต การได้รับในปริมาณสูง ทำให้เซลล์ตับ และเซลล์ไต เกิดการเสื่อม และพบภาวะกลีบไตฝ่อ หรือหลอดเลือดฝอย ในตับแตก ส่งผลต่อการกรองของเสีย และสมดุลของเหลว ในร่างกาย
- ส่งผลต่อหัวใจ และสมอง หากได้รับขนาดสูงมาก อาจพบกล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาด และเซลล์ประสาท ในสมองเสื่อมสภาพ ทำให้การทำงาน ของอวัยวะสำคัญเหล่านี้ลดลง
- เป็นตัวส่งเสริมเนื้องอก ฟอร์บอลเอสเทอร์กระตุ้นเอนไซม์ PKC มากเกินไป ทำให้เซลล์แบ่งตัวเร็วขึ้น และตอบสนอง ต่อสารก่อมะเร็งรุนแรงขึ้น แม้ตัวมันเอง ไม่ทำให้เกิดมะเร็งโดยตรง
- เป็นพิษต่อสัตว์ทดลอง และสิ่งมีชีวิตอื่น พบว่าเป็นพิษต่อหนู แพะ แกะ หมู และปลา ทำให้สัตว์เกิดอาการท้องเสีย อ่อนแรง และตายในที่สุด
งานวิจัยพิษฟอร์บอลเอสเทอร์
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food and Chemical Toxicology ปี 2010 ศึกษาความเป็นพิษของสาร ฟอร์บอลเอสเทอร์ ที่แยกจากน้ำมันของพืชสบู่ดำ โดยให้หนูทดลอง รับสารทางกระเพาะอาหาร พบว่าค่าขีดคร่าชีวิต อยู่ที่ 27.34 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว
หนูที่ได้รับสาร ในปริมาณสูงกว่า 32 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มีอาการเลือดออกในปอด ไตเสื่อม และกล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาด ในขณะที่ขนาดต่ำสุด ที่ทดสอบ 21 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ยังไม่พบความผิดปกติเด่นชัด แสดงให้เห็นว่า สารนี้มีฤทธิ์ ทำลายอวัยวะสำคัญหลายระบบ และมีพิษเฉียบพลันสูง แม้ในปริมาณไม่มาก
ผู้วิจัยชี้ว่าสารฟอร์บอลเอสเทอร์ เป็นพิษหลักในเมล็ด และน้ำมันของสบู่ดำ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2–4 มิลลิกรัมต่อกรัม ในน้ำมันและ 2–3 มิลลิกรัมต่อกรัมในเนื้อเมล็ด โครงสร้างของสารนี้อยู่ในกลุ่มไดเทอร์ปีนชนิด tigliane ที่สามารถกระตุ้นเอนไซม์ protein kinase C อย่างรุนแรง จึงมีคุณสมบัติ เป็นตัวส่งเสริมเนื้องอก (กุมภาพันธ์ 2010) [2]
ฟอร์บอลเอสเทอร์กับการเกิดเนื้องอก
งานวิจัยในวารสาร Nature ปี 1987 พบว่า เมื่อทาสารฟอร์บอลเอสเทอร์ชนิด TPA ลงบนผิวหนัง ของหนูทดลอง ระดับของเอนไซม์ PKC ในเซลล์ผิว จะลดลงอย่างรวดเร็ว และคงอยู่หลายวัน ซึ่งหมายความว่าสารนี้ ไปกระตุ้นให้ PKC ทำงานมากเกินไป จนระบบของเซลล์ต้องปิดการทำงานของมันชั่วคราว
เพื่อป้องกันความเสียหาย การค้นพบนี้ จึงช่วยอธิบายได้ว่า เหตุใดฟอร์บอลเอสเทอร์ จึงมีฤทธิ์รบกวนการทำงานของเซลล์ ทำให้เกิดการแบ่งตัวผิดปกติ และอาจเกี่ยวข้อง กับกระบวนการเกิดเนื้องอกในร่างกาย (31 ธันวาคม 1987) [3]
สรุปแล้ว ผักอะไรที่มีฟอร์บอลเอสเทอร์สูง
ผักที่มีฟอร์บอลเอสเทอร์ สูงที่สุดคือพืชในตระกูล สบู่ดำ ซึ่งทั้งเมล็ด และใบมีสารนี้ ในระดับที่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ หากบริโภค โดยไม่ผ่านกระบวนการกำจัดพิษ อาจทำให้เกิดอาการอักเสบ ตับและไตเสื่อม หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ยังพบใน มันสำปะหลังป่า และ พืชสกุล Euphorbia เช่นพญาไร้ใบ
ฟอร์บอลเอสเทอร์เท่าไหร่อันตราย?
การได้รับฟอร์บอลเอสเทอร์ ในปริมาณมากเพียงเล็กน้อย ก็อาจเป็นอันตรายได้ โดยงานวิจัยในหนูทดลองระบุว่าค่าขีดคร่าชีวิต อยู่ที่ประมาณ 27 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว ซึ่งถือว่ามีพิษสูงมาก หากเป็นคนที่มีน้ำหนักประมาณ 60 กิโลกรัม จะเท่ากับเพียงราว 1.6 กรัมของสารบริสุทธิ์เท่านั้น
ได้รับฟอร์บอลเอสเทอร์จะรักษายังไง?
หากได้รับสารฟอร์บอลเอสเทอร์ เข้าสู่ร่างกาย การรักษาจะเน้นการดูแลตามอาการ เพราะยังไม่มียาต้านพิษเฉพาะ โดยแพทย์มักเริ่มจากการ ล้างกระเพาะอาหารและให้ activated charcoal เพื่อดูดซับสารพิษ จากนั้นให้สารน้ำทางหลอดเลือด และอาจให้ยาลดการอักเสบ หรือลดการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร
- Tags: สุขภาพ


