เรื่องน่ารู้ ผักอะไรที่มี Chlorogenic acid สูง

ผักอะไรที่มี Chlorogenic acid สูง

ผักอะไรที่มี Chlorogenic acid สูง เป็นคำถามที่มีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะกรดคลอโรจีนิก เป็นสารโพลีฟีนอล ที่พืชสร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเอง มีด้านที่มีประโยชน์ ต่อร่างกายมนุษย์เช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน หากได้รับในปริมาณมากเกินไป รูปแบบสกัดเข้มข้น ก็อาจมีผลข้างเคียงต่อร่างกายได้เช่นกัน

  • กรดคลอโรจีนิกคืออะไร?
  • อันตรายของกรดคลอโรจีนิก
  • ผักที่มีกรดคลอโรจีนิกสูง

สารประกอบกรดคลอโรจีนิก คืออะไร?

กรดคลอโรจีนิกคือสารประกอบ ในกลุ่มโพลีฟีนอล ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ในพืชหลายชนิด โดยเฉพาะในเมล็ดกาแฟ มันฝรั่ง ผลไม้ และผักบางชนิด สารนี้เกิดจากการรวมตัวของ caffeic acid กับ quinic acid จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีบทบาทสำคัญ ในการป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดความเสียหายจาก oxidation ในร่างกาย

กรดคลอโรจีนิกยังเป็นหนึ่งในสาร ที่ให้รส และกลิ่นเฉพาะตัวในกาแฟ รวมถึงมีคุณสมบัติ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด สนับสนุนการทำงานของหัวใจ ตับ และสมอง จึงมักถูกศึกษาในด้านโภชนาการ แม้จะพบได้ทั่วไปในอาหาร แต่ปริมาณ และฤทธิ์ของมัน ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา

ประวัติ การค้นพบ กรดคลอโรจีนิก

กรดคลอโรจีนิกถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1932 โดยนักเคมีชาวเยอรมัน Hermann O. L. Fischer และ Gerda Dangschat ซึ่งสามารถระบุได้ว่า สารนี้เป็นเอสเตอร์ ระหว่างกรดคาเฟอิก และกรดควินิก การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ ในยุคแรกของเคมีอินทรีย์ เชิงชีวภาพ เพราะเป็นการเปิดประตู ให้เข้าใจถึงบทบาทของสารกลุ่มโพลีฟีนอลในพืช

ที่มีต่อกระบวนการทางธรรมชาติ เช่นการสร้างลิกนิน และการป้องกันออกซิเดชันของเซลล์พืช ต่อมาในช่วงปี 1950 นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาขยายผล จนพบว่ากรดคลอโรจีนิก ไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว แต่เป็นกลุ่ม ของสารประกอบเอสเตอร์หลายแบบ ที่เกิดจากการจับกัน ของกรดคาเฟอิก กับกรดควินิก ในตำแหน่งต่างๆของวงแหวน

ซึ่งรวมถึง neochlorogenic acid และ cryptochlorogenic acid ที่พบมากในกาแฟ มันฝรั่ง และผักผลไม้หลายชนิด ทำให้กรดคลอโรจีนิก กลายเป็นสาระสำคัญ ที่นักวิจัยให้ความสนใจ ทั้งในด้านเคมีอาหาร และการศึกษา ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในทางโภชนาการ มาจนถึงปัจจุบัน (10 สิงหาคม 2025) [1]

อันตรายของกรดคลอโรจีนิก

  • อาจทำให้กระเพาะระคายเคือง การได้รับกรดคลอโรจีนิก ในปริมาณสูง เช่นจากสารสกัดเมล็ดกาแฟดิบ อาจเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกแสบท้อง คลื่นไส้ หรือไม่สบายท้องในบางคน
  • อาจรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด กรดคลอโรจีนิก สามารถจับกับธาตุเหล็ก และสังกะสีในอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมได้น้อยลง หากบริโภคมากเกินไป ในระยะยาว อาจเสี่ยงต่อภาวะขาดแร่ธาตุได้
  • อาจกระตุ้นระบบประสาทเกินไป เมื่อได้รับจากเมล็ดกาแฟดิบ หรือคาเฟอีน ในบางกรณี สารนี้ทำงานร่วมกับคาเฟอีน ทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย ใจสั่น หรือหัวใจเต้นเร็ว โดยเฉพาะในผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน
  • อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป เนื่องจากกรดคลอโรจีนิก มีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือด การรับประทาน ร่วมกับยาควบคุมเบาหวาน อาจทำให้ระดับน้ำตาลต่ำเกินไปในบางราย
  • อาจมีผลต่อการทำงานของตับ เมื่อใช้ในปริมาณสูงต่อเนื่อง งานวิจัยบางส่วน ระบุว่าการใช้สารสกัดเข้มข้น ที่มีกรดคลอโรจีนิกมากเกินไปอาจเพิ่มภาระการทำงานของตับ โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคตับอยู่แล้ว

ผักอะไรที่มีกรดคลอโรจีนิกสูง?

ผักอะไรที่มี Chlorogenic acid สูง
  • มันฝรั่ง เป็นผักที่มีกรดคลอโรจีนิก สูงที่สุดชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะในเปลือก ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก แต่เมื่อผ่านการทอด หรืออบที่อุณหภูมิสูง สารนี้จะสลายตัวบางส่วน จึงควรกินแบบต้ม หรือนึ่ง จะดีกว่า
  • ผักโขม มีกรดคลอโรจีนิก ในระดับสูง รองลงมาจากมันฝรั่ง ช่วยลดการอักเสบ และส่งเสริมสุขภาพหลอดเลือด แต่ควรกินสุก เพราะความร้อน ช่วยลดสาร Oxalateที่อาจขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุเช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก และ แมกนีเซียม
  • บรอกโคลี มีกรดคลอโรจีนิก ในปริมาณพอสมควร พร้อมสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น sulforaphane ที่ช่วยปกป้องเซลล์ จากความเครียด Oxidation
  • หน่อไม้ฝรั่ง เป็นผักที่มีกรดคลอโรจีนิก อยู่พอประมาณ และยังมีสารในกลุ่มโพลีฟีนอลอื่นๆ ที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการดูแล หลอดเลือดและหัวใจ
  • มะเขือเทศ แม้จะขึ้นชื่อเรื่องไลโคปีน แต่จริงๆแล้วก็มีกรดคลอโรจีนิกอยู่ด้วย โดยเฉพาะในผลที่ยังไม่สุกเต็มที่ ช่วยเพิ่มการต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
  • ผักกาดเขียว และผักใบเขียวอื่นๆ มีกรดคลอโรจีนิกในระดับที่น้อยกว่า แต่ยังมีบทบาท ในการเสริมฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อกินรวมกับผักชนิดอื่น

ประโยชน์ของกรดคลอโรจีนิกคืออะไร?

  • ลดการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระ กรดคลอโรจีนิกช่วยยับยั้งเส้นทางสัญญาณ NF-κB และ MAPK ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ พร้อมกระตุ้นโปรตีน Nrf2 ให้ร่างกายสร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้น จึงช่วยลดความเสียหายของเซลล์
  • ควบคุมการเผาผลาญน้ำตาล และไขมันให้สมดุล กรดคลอโรจีนิกกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ AMPK ซึ่งเป็นตัวควบคุมพลังงานในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาล และไขมัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และภาวะไขมันสะสม
  • ปกป้องหัวใจ ตับ ไต และสมอง กรดคลอโรจีนิกมีบทบาท ช่วยลดการอักเสบ ในอวัยวะสำคัญ ป้องกันความเสียหาย ของเซลล์ตับ และไต ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และอาจช่วยชะลอการเสื่อม ของเซลล์ประสาท ในสมอง
  • ดูแลสุขภาพผิว และต้านเชื้อจุลชีพ กรดคลอโรจีนิกช่วยลดผลกระทบจากรังสี UV และมลภาวะ ช่วยให้ผิวแข็งแรง ชะลอการเกิดริ้วรอย และยังมีคุณสมบัติ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราบางชนิด

ที่มา: Chlorogenic-Acid A Systematic Review on the Biological Functions (23 มีนาคม 2024) [2]

งานวิจัย กรดคลอโรจีนิกปกป้องเซลล์ผิว

งานวิจัยปี 2024 พบว่า กรดคลอโรจีนิกซึ่งเป็นสารโพลีฟีนอลจากพืช สายพันธุ์ HaCaT มีคุณสมบัติช่วยปกป้องเซลล์ผิวหนังมนุษย์ จากความเสียหาย ที่เกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกรดคลอโรจีนิก สามารถลดการเกิดอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสียหาย ของแหล่งผลิตพลังงานของเซลล์

และช่วยให้เซลล์มีชีวิตรอดได้มากขึ้น พร้อมลดการหลั่งของ Cytochromes c ซึ่งเป็นตัวกระตุ้น กระบวนการตายของเซลล์ นอกจากนี้กรดคลอโรจีนิก ยังช่วยลดการทำงาน ของโปรตีน ที่เกี่ยวข้องกับการตายของเซลล์เช่น Bax, Caspase-9 และ Caspase-3 ขณะเดียวกันเพิ่มระดับของ Bcl-2 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้เซลล์อยู่รอด

และยับยั้งสัญญาณในเส้นทาง ERK ที่ PM2.5 ใช้กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ และการตายของเซลล์ สรุปได้ว่า กรดคลอโรจีนิก มีบทบาทสำคัญ ในการลดความเครียดออกซิเดชัน และป้องกันการเสื่อม ของเซลล์ผิวจากมลพิษทางอากาศ ช่วยให้ผิวแข็งแรง และลดผลกระทบ จากฝุ่นละอองขนาดเล็ก ได้อย่างมีนัยสำคัญ (กันยายน 2024) [3]

สรุปแล้ว ผักอะไรที่มีกรดคลอโรจีนิกสูง

ผักที่พบว่ามีกรดคลอโรจีนิกในปริมาณค่อนข้างสูง ได้แก่ มันฝรั่งโดยเฉพาะบริเวณเปลือก ผักโขม บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ ผักกาดเขียว และผักใบเขียวหลายชนิด หากได้รับกรดคลอโรจีนิกมากเกินไป จากผลิตภัณฑ์สกัดเข้มข้น หรืออาหารเสริม อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะ หรือลดการดูดซึมแร่ธาตุได้

ได้รับกรดคลอโรจีนิกเท่าไหร่อันตราย?

แม้จะไม่มีการกำหนดค่า ที่แน่ชัดว่าเป็นระดับอันตราย สำหรับคนทั่วไป แต่มีงานวิจัย ที่พบว่าเมื่อรับกรดคลอโรจีนิก ถึงประมาณ 2 กรัมต่อวัน อาจทำให้ระดับ Homocysteine ในเลือดเพิ่มขึ้น ราว 12 % ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยง ต่อสุขภาพหัวใจได้เล็กน้อย จึงควรระมัดระวัง หากใช้ในปริมาณสูงมากเกินไป

ใครที่ควรระวังกรดคลอโรจีนิก?

ผู้ที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ผู้ที่มีภาวะ Homocysteine สูงอยู่แล้ว ผู้ที่มีปัญหาตับ ไต หรือผู้ที่ใช้ยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล และหัวใจ เพราะการเพิ่มของ Homocysteine อาจต้องหลีกเลี่ยง การได้รับสารนี้ ในปริมาณสูง และหากใช้ผลิตภัณฑ์สกัดเข้มข้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง