
ผักอะไรที่มี Beta carotene สูง คำถามที่ดูธรรมดา แต่เมื่อมองลึกลงกลับเกี่ยวกับหลายอย่าง ตั้งแต่สีสันบนจานอาหาร สุขภาพผิว ดวงตา จนถึงเทคนิคการปรุงอาหาร ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่ บทความนี้ จะพาไปไล่เรียง เริ่มจากที่ คุณสมบัติของเบต้าแคโรทีน และผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง
เบต้าแคโรทีนถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1831 โดยนักเคมีชาวเยอรมัน Heinrich Wilhelm Ferdinand Wackenroder ซึ่งสกัดสารสีแดง จากน้ำแครอท จนได้ผลึกสีแดงทับทิม ต่อมาในปี 1847 William Christopher Zeise ยืนยันว่าเป็นสารในกลุ่มไฮโดรคาร์บอน
และในปี 1886 Léon-Albert Arnaud วิเคราะห์เบต้าแคโรทีน และระบุว่าสูตรโมเลกุลคือ C₄₀H₅₆ (มีคาร์บอน 40 อะตอม และไฮโดรเจน 56 อะตอม) ซึ่งตรงกับค่าจริง ที่เรารู้ในปัจจุบันเกือบทั้งหมด สารชนิดนี้เป็นไอโซเมอร์หลักของแคโรทีน พบมากในผัก และผลไม้สีส้ม เหลือง และเขียวเข้ม
จัดอยู่ในกลุ่ม provitamin A ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ตามความต้องการ ในเชิงโครงสร้าง เบต้าแคโรทีนจัดเป็น Terpenoids ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยคาร์บอน 40 อะตอมหรือ 8 Isoprene unit เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็น Retinol ซึ่งเป็นรูปหนึ่งของวิตามินเอ (4 กรกฎาคม 2025) [1]
ปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน (RDA) ขึ้นอยู่กับเพศ และช่วงอายุ สำหรับผู้ใหญ่ชายควรได้รับ 900 µg RAE/วัน ขณะที่ผู้ใหญ่หญิงอยู่ที่ 700 µg RAE/วัน หากแปลงจากเบต้าแคโรทีนในอาหาร (โดยใช้อัตรา 12 µg = 1 µg RAE)
ค่าดังกล่าวจึงเท่ากับการบริโภคเบต้าแคโรทีนประมาณ 8,400 µg (8.4 mg) สำหรับผู้ชาย หรือ 8,400 µg (8.4 mg) สำหรับผู้หญิงเพื่อให้ได้วิตามินเอตามความต้องการ
แม้ว่าจะมีการกำหนด Upper Intake Level (UL) สำหรับวิตามินเอในรูปแบบ preformed (retinol) ที่ 3,000 µg RAE/วัน แต่สำหรับเบต้าแคโรทีนหรือ carotenoids อื่นๆ ในรูปแบบ provitamin A ยังไม่กำหนด UL เนื่องจากมีความเสี่ยงเรื่องพิษต่ำ (10 มีนาคม 2025) [2]
ที่มา: 11 Foods Full of Beta-Carotene (18 ตุลาคม 2023) [3]
คำตอบของ ผักอะไรที่มีเบต้าแคโรทีนสูง หลักๆคือผักกลุ่มสีส้มเหลือง แครอท ฟักทอง มันเทศ สิ่งสำคัญคือวิธีปรุง และการจับคู่ไขมันดีเล็กน้อย เพื่อให้ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ กินสลับกันทั้งสุก ดิบตามเหมาะสม เลือกของตามฤดูกาล สีเข้มจัด ปรุงให้ถูกวิธี แค่นี้ก็ได้ประโยชน์จากเบต้าแคโรทีนแล้ว
เบต้าแคโรทีน เป็นสารละลายในไขมัน จึงดูดซึมได้ดี เมื่อรับประทานพร้อมไขมันดี เช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว ถั่ว และเมล็ดพืช การปรุงผักที่มีเบต้าแคโรทีน ด้วยการผัด นึ่ง หรืออบ พร้อมน้ำมันเล็กน้อย จะช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้เต็มที่ หรือทานร่วมกับวิตามินอี จะช่วยเสริมฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ไม่ควรรับประทานเบต้าแคโรทีน ร่วมกับยาหรือสารที่ลดการดูดซึมไขมันเช่น orlistat หรือยาลดคอเลสเตอรอลบางชนิด (cholestyramine) เพราะจะลดการดูดซึมเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอ และไม่ควรรับในปริมาณมาก ร่วมกับวิตามินเอ รูปเรตินอลจากอาหารเสริม เพราะอาจทำให้ระดับวิตามินเกินความต้องการ