รู้ไหมว่า ผักอะไรที่มี Beta carotene สูง

ผักอะไรที่มี Beta carotene สูง

ผักอะไรที่มี Beta carotene สูง คำถามที่ดูธรรมดา แต่เมื่อมองลึกลงกลับเกี่ยวกับหลายอย่าง ตั้งแต่สีสันบนจานอาหาร สุขภาพผิว ดวงตา จนถึงเทคนิคการปรุงอาหาร ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่ บทความนี้ จะพาไปไล่เรียง เริ่มจากที่ คุณสมบัติของเบต้าแคโรทีน และผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง

  • เบต้าแคโรทีนคืออะไร?
  • ประโยชน์ของเบต้าแคโรทีน
  • ผักอะไรที่มีเบต้าแคโรทีนสูง?

ประวัติ เบต้าแคโรทีนคืออะไร?

เบต้าแคโรทีนถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1831 โดยนักเคมีชาวเยอรมัน Heinrich Wilhelm Ferdinand Wackenroder ซึ่งสกัดสารสีแดง จากน้ำแครอท จนได้ผลึกสีแดงทับทิม ต่อมาในปี 1847 William Christopher Zeise ยืนยันว่าเป็นสารในกลุ่มไฮโดรคาร์บอน

และในปี 1886 Léon-Albert Arnaud วิเคราะห์เบต้าแคโรทีน และระบุว่าสูตรโมเลกุลคือ C₄₀H₅₆ (มีคาร์บอน 40 อะตอม และไฮโดรเจน 56 อะตอม) ซึ่งตรงกับค่าจริง ที่เรารู้ในปัจจุบันเกือบทั้งหมด สารชนิดนี้เป็นไอโซเมอร์หลักของแคโรทีน พบมากในผัก และผลไม้สีส้ม เหลือง และเขียวเข้ม

จัดอยู่ในกลุ่ม provitamin A ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ตามความต้องการ ในเชิงโครงสร้าง เบต้าแคโรทีนจัดเป็น Terpenoids ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยคาร์บอน 40 อะตอมหรือ 8 Isoprene unit เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็น Retinol ซึ่งเป็นรูปหนึ่งของวิตามินเอ (4 กรกฎาคม 2025) [1]

อะไรคือประโยชน์ของเบต้าแคโรทีน?

  • แหล่งโปรวิตามินเอ เบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้น ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ได้ตามความต้องการ จึงช่วยให้ร่างกาย มีปริมาณวิตามินเอเพียงพอ โดยไม่เสี่ยงต่อพิษ จากการได้รับวิตามินเอเกิน เพราะร่างกายจะปรับอัตราแปลงเอง
  • ส่งเสริมสุขภาพดวงตา บำรุงสายตา วิตามินเอที่ได้จากเบต้าแคโรทีน มีบทบาทสำคัญ ต่อการสร้าง rhodopsin ในจอตา ช่วยให้มองเห็นในที่มืด ลดความเสี่ยงตาแห้ง และชะลอการเสื่อม ของจอประสาทตา
  • เสริมภูมิคุ้มกัน วิตามินเอ ช่วยรักษาความแข็งแรง ของเยื่อบุผิว ในระบบทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร และระบบสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นด่านแรก ของภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสติดเชื้อได้
  • ปกป้องผิวและเยื่อบุ เบต้าแคโรทีนช่วยรักษาสภาพผิว และเยื่อบุให้ชุ่มชื้น ลดความเสียหายจากรังสี UV และชะลอการเกิดริ้วรอย ในระยะยาว
  • ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสียหายของเซลล์ จากความเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ มะเร็งบางชนิด และโรคเรื้อรังอื่นๆ
  • ปลอดภัยกว่าวิตามินเอ ในรูปเรตินอล เบต้าแคโรทีนจากอาหาร มักปลอดภัยแม้บริโภคมาก เนื่องจากร่างกายจะจำกัดการแปลงเป็นวิตามินเอ แต่หากได้รับจากอาหารเสริมโดสสูง โดยเฉพาะในผู้สูบบุหรี่ อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ต่อโรคมะเร็งปอด

เบต้าแคโรทีนปริมาณต่อวัน

ปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน (RDA) ขึ้นอยู่กับเพศ และช่วงอายุ สำหรับผู้ใหญ่ชายควรได้รับ 900 µg RAE/วัน ขณะที่ผู้ใหญ่หญิงอยู่ที่ 700 µg RAE/วัน หากแปลงจากเบต้าแคโรทีนในอาหาร (โดยใช้อัตรา 12 µg = 1 µg RAE)

ค่าดังกล่าวจึงเท่ากับการบริโภคเบต้าแคโรทีนประมาณ 8,400 µg (8.4 mg) สำหรับผู้ชาย หรือ 8,400 µg (8.4 mg) สำหรับผู้หญิงเพื่อให้ได้วิตามินเอตามความต้องการ 

แม้ว่าจะมีการกำหนด Upper Intake Level (UL) สำหรับวิตามินเอในรูปแบบ preformed (retinol) ที่ 3,000 µg RAE/วัน แต่สำหรับเบต้าแคโรทีนหรือ carotenoids อื่นๆ ในรูปแบบ provitamin A ยังไม่กำหนด UL เนื่องจากมีความเสี่ยงเรื่องพิษต่ำ (10 มีนาคม 2025) [2]

ผักอะไรที่มีเบต้าแคโรทีนสูง?

ผักอะไรที่มี Beta carotene สูง
  • มันเทศอบ หรือต้ม ให้เบต้าแคโรทีนสูงสุด ในหมู่ผัก ประมาณ 9,406 µg ต่อ 100 g
  • แครอทปรุงสุก มีเบต้าแคโรทีนสูงเช่นกัน ประมาณ 8,279 µg ต่อ 100 g
  • ผักโขมปรุงสุก ให้เบต้าแคโรทีนราว 6,103 µg ต่อ 100 g
  • บัตเตอร์นัทสควอช อบหรือต้ม ให้ปริมาณถึง 4,570 ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม
  • บรอกโคลีปรุงสุก ให้ประมาณ 929 ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม แม้ไม่สูงเท่าผักสีส้ม แต่ยังเป็นแหล่งสำคัญ ของเบต้าแคโรทีนในผักใบเขียว

ที่มา: 11 Foods Full of Beta-Carotene (18 ตุลาคม 2023) [3]

ใครที่ควรระวังการทานเบต้าแคโรทีน?

  • ผู้สูบบุหรี่ และผู้ที่เคยเป็นโรคปอด งานวิจัยใหญ่หลายชิ้น (เช่น ATBC และ CARET trials) พบว่าการเสริมเบต้าแคโรทีน ในปริมาณสูง อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอด ในผู้สูบบุหรี่ หรือผู้ที่เคยสัมผัสใยหิน แม้จะไม่มีความเสี่ยงแบบเดียวกัน เมื่อได้รับจากผักผลไม้
  • ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด ยาลดการดูดซึมไขมัน (เช่น orlistat) หรือยาลดคอเลสเตอรอลบางชนิด (เช่น cholestyramine) อาจลดการดูดซึมเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอ ทำให้ร่างกายได้รับไม่เพียงพอ หรือในทางกลับกัน อาจต้องระวังการใช้ร่วมกับอาหารเสริมโดสสูง เพราะอาจมีปฏิกิริยา
  • ผู้ที่มีภาวะดูดซึมไขมันผิดปกติ เช่นโรคตับอ่อนเรื้อรัง โรคตับแข็ง โรคทางเดินน้ำดี หรือโรค Celiac เพราะเบต้าแคโรทีน ละลายในไขมัน จึงดูดซึมได้น้อย อาจต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับวิธีการรับประทานหรือเสริม
  • ผู้ที่ได้รับวิตามินเอ จากอาหารเสริมอยู่แล้ว แม้เบต้าแคโรทีนจากอาหาร จะไม่ทำให้เกิดพิษง่าย แต่ถ้าร่างกายได้รับวิตามินเอ ในรูปเรตินอลจากอาหารเสริมสูงอยู่แล้ว การเสริมเบต้าแคโรทีนเพิ่ม อาจทำให้ระดับวิตามินเอรวมสูงเกินไปในระยะยาว

เทคนิค เลือก ล้าง ปรุง เก็บ ให้ถูกต้อง

  • เลือก: สีเข้มจัด เนื้อแน่น ใบไม่ช้ำ ก้านกรอบ กลิ่นสด
  • ล้าง: ล้างก่อนหั่น ลดการชะล้างสารอาหารที่ละลายน้ำ
  • ปรุง: นึ่ง ผัดเร็ว อบอุณหภูมิปานกลาง ใส่น้ำมันดีเล็กน้อย (เช่นน้ำมันมะกอก/น้ำมันงา/น้ำมันรำข้าว) เพื่อช่วยเบต้าแคโรทีน ซึมผ่านผนังลำไส้
  • จับคู่: โรยถั่ว เมล็ดพืช หรืออะโวคาโด เพื่อเพิ่มไขมันดี และวิตามินอี ที่ทำงานเสริมกัน
  • เก็บ: เก็บในที่มืด เย็น แห้ง ถ้าปอกหรือหั่นแล้ว ให้ปิดสนิท ลดสัมผัสอากาศ และแสง

สรุปแล้ว ผักอะไรที่มีเบต้าแคโรทีนสูง?

คำตอบของ ผักอะไรที่มีเบต้าแคโรทีนสูง หลักๆคือผักกลุ่มสีส้มเหลือง แครอท ฟักทอง มันเทศ สิ่งสำคัญคือวิธีปรุง และการจับคู่ไขมันดีเล็กน้อย เพื่อให้ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ กินสลับกันทั้งสุก ดิบตามเหมาะสม เลือกของตามฤดูกาล สีเข้มจัด ปรุงให้ถูกวิธี แค่นี้ก็ได้ประโยชน์จากเบต้าแคโรทีนแล้ว

เบต้าแคโรทีนควรทานคู่กับอะไร?

เบต้าแคโรทีน เป็นสารละลายในไขมัน จึงดูดซึมได้ดี เมื่อรับประทานพร้อมไขมันดี เช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว ถั่ว และเมล็ดพืช การปรุงผักที่มีเบต้าแคโรทีน ด้วยการผัด นึ่ง หรืออบ พร้อมน้ำมันเล็กน้อย จะช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้เต็มที่ หรือทานร่วมกับวิตามินอี จะช่วยเสริมฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

เบต้าแคโรทีนไม่ควรทานกับอะไร?

ไม่ควรรับประทานเบต้าแคโรทีน ร่วมกับยาหรือสารที่ลดการดูดซึมไขมันเช่น orlistat หรือยาลดคอเลสเตอรอลบางชนิด (cholestyramine) เพราะจะลดการดูดซึมเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอ และไม่ควรรับในปริมาณมาก ร่วมกับวิตามินเอ รูปเรตินอลจากอาหารเสริม เพราะอาจทำให้ระดับวิตามินเกินความต้องการ

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง