
สารอันตราย ผลไม้อะไรที่มี Safrole สูง
- Fiona
- 63 views

ผลไม้อะไรที่มี Safrole สูง อาจเป็นคำถามที่หลายคนไม่คุ้นหู เพราะชื่อของสารแซฟรอล ฟังดูเหมือนสารเคมีในห้องทดลอง มากกว่าสิ่งที่อยู่ในผลไม้ซะอีก แต่แท้จริงแล้ว มันเป็นสารธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นเองในพืชบางชนิด โดยเฉพาะพืช ที่มีกลิ่นหอมบางชนิด เป็นตัวสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านกลิ่น รสชาติ เป็นสารธรรมชาติที่น่าสนใจ
- แซฟรอลคืออะไร?
- ผลไม้ที่มีแซฟรอลสูง
- อันตรายจากแซฟรอล
สารอินทรีย์ แซฟรอลคืออะไร?
แซฟรอลเป็นสารอินทรีย์ ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว พบตามธรรมชาติ ในน้ำมันหอมระเหย ของพืชหลายชนิด โดยเฉพาะต้น Sassafras albidum ลักษณะเป็นของเหลวใส หรือสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหวาน คล้ายเครื่องเทศอ่อนๆ มีสูตรเคมี C₁₀H₁₀O₂ และจุดเดือดประมาณ 234 องศาเซลเซียส
เดิมทีสารแซฟรอล มักถูกใช้เป็นส่วนผสมแต่งกลิ่น จากกลิ่นหอมเฉพาะตัว ในผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด เช่นน้ำหอม และเครื่องดื่มอย่าง root beer แต่ต่อมาพบว่ามีความเสี่ยง ต่อการเกินโรคมะเร็ง จึงถูกจำกัดการใช้งาน และควบคุม ในผลิตภัณฑ์สำหรับอาหาร หรือเครื่องดื่มที่บริโภค ในหลายประเทศ (21 มกราคม 2020) [1]
ประวัติ แซฟรอล การค้นพบครั้งแรก
แซฟรอลถูกค้นพบในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อนักเคมี สามารถสกัดสารนี้ จากน้ำมันหอมระเหยของต้น Sassafras albidum ซึ่งเป็นไม้พื้นเมือง ของอเมริกาเหนือ ช่วงปีราว 1839–1844 นักวิทยาศาสตร์เริ่มระบุว่าแซฟรอล คือสารที่ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัว ของน้ำมันชนิดนี้
และต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้มีการระบุโครงสร้างทางเคมีอย่างชัดเจน ทำให้แซฟรอลถูกนำมาใช้ ในอุตสาหกรรมเครื่องหอม และแต่งรสอาหาร อย่างแพร่หลายในยุคต่อมา จนถึงช่วงทศวรรษ 1960–1970 เริ่มมีรายงาน การก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง ทำให้องค์การ FDA สั่งห้ามใช้แซฟรอล ในผลิตภัณฑ์อาหาร ตั้งแต่ปี 1960
มีประกาศควบคุม อย่างเป็นทางการในปี 1976 ภายหลังยังถูกจัด เป็นสารตั้งต้น ในการสังเคราะห์ยาเสพติดบางชนิด จึงอยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวด แม้ปัจจุบัน ยังใช้ในบางงานวิจัย และอุตสาหกรรมเคมี แต่ไม่ใช้ในอาหาร หรือเครื่องดื่มอีกต่อไป เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย (8 ตุลาคม 2025) [2]
งานวิจัยแซฟรอล Nanoemulgel
งานวิจัยที่ศึกษาคุณสมบัติทางชีวภาพ ของน้ำมันแซฟรอล และสูตร Nanoemulgel ที่พัฒนาขึ้นจากน้ำมันนี้ พบว่าน้ำมันแซฟรอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในระดับปานกลาง โดยมีค่า IC₅₀ ประมาณ 50 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ซึ่งหมายความว่า สามารถช่วยลดการเกิดออกซิเดชันได้บ้าง
แต่ยังไม่เทียบเท่าสารมาตรฐานอย่าง Trolox ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า นักวิจัยยังได้พัฒนาสูตร Nanoemulgel ขึ้นเพื่อเพิ่มการดูดซึมและประสิทธิภาพทางชีวภาพ ผลการทดลองพบว่า สูตรนาโนนี้มีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ และยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับสายพันธุ์ Hep3B ได้ดีกว่าน้ำมันแซฟรอลในรูปแบบปกติ
โดยมีค่า IC₅₀ ต่ำกว่าอย่างชัดเจน ซึ่งออกฤทธิ์ได้ดีกว่าแบบปกติ ใช้ในปริมาณน้อย แต่ได้ผลมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ ของการใช้เทคโนโลยีนาโน ในการพัฒนาแซฟรอล ให้เป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต (29 พฤษภาคม 2021) [3]
ผลไม้อะไรบ้างที่มีแซฟรอลสูง?

- มะเฟือง เป็นผลไม้ที่มีวิตามิน และแร่ธาตุสูง เช่นวิตามินซีและ โพแทสเซียม ในงานวิจัยจากอินโดนีเซีย พบว่ามีแซฟรอล คิดเป็นประมาณ 8–9% ขององค์ประกอบกลิ่นหอมทั้งหมด กลิ่นที่ได้จะออกโทนหวาน อมเครื่องเทศเล็กน้อย มะเฟืองจึงถือเป็นผลไม้ ที่มีการตรวจพบแซฟรอล ในระดับค่อนข้างสูง ในกลุ่มผลไม้สดทั่วไป
- ลูกจันทน์เทศ แม้ลูกจันทน์เทศ มักจะถูกจัดเป็นเครื่องเทศ มากกว่าผลไม้ แต่จริงๆแล้ว มันคือเมล็ดใน ของผลไม้ตระกูล Myristica fragrans ภายในผลมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เพราะมีน้ำมันหอมระเหย ที่ประกอบด้วยแซฟรอล ประมาณ 0.1–0.3% ของน้ำหนักแห้ง หากรับประทานมากเกินไปอาจเกิดพิษได้
- กระวาน และลูกพริกไทยผล ผลของพืชตระกูลพริกไทยบางชนิดเช่น Piper divaricatum พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากผลมี แซฟรอลสูงถึง 80–90% ของส่วนประกอบน้ำมันหอมระเหย แม้จะไม่ใช่ผลไม้กินทั่วไป แต่ก็ถือว่าเป็น ผลของพืชที่มีแซฟรอลเข้มข้นที่สุดตามธรรมชาติ
- ส้มบางสายพันธุ์ เช่นส้มซ่า มีรายงานการตรวจพบแซฟรอล ในส่วนของน้ำมันหอมระเหย จากผิวผล ในระดับต่ำมาก ราว 0.01–0.05% ให้กลิ่นโทนเครื่องเทศอบอุ่น แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย ไม่ส่งผลต่อร่างกาย จากการบริโภคผลสด
- กลุ่มผลไม้กลิ่นหอมเช่น มะกรูด หรือมะนาวบางพันธุ์ ในงานวิเคราะห์กลิ่น พบแซฟรอลเพียงเล็กน้อย trace level <0.01% ในผิวหรือเปลือกผล ซึ่งไม่ถึงระดับที่เป็นอันตราย แต่มีผลต่อกลิ่นหอมแนวหวาน เครื่องเทศบางๆ ที่หลายคนชอบ
อันตรายจากแซฟรอลคืออะไร?
- อาจก่อมะเร็งตับ งานวิจัยในสัตว์ทดลอง พบว่าแซฟรอล สามารถเปลี่ยนเป็นสารเมตาบอไลต์ ที่ทำลายดีเอ็นเอ และก่อมะเร็งตับได้ จึงจัดเป็นสารที่มีความเสี่ยง ต่อการก่อมะเร็งในมนุษย์
- เป็นพิษต่อตับ เมื่อได้รับมากเกินไป การรับแซฟรอลในปริมาณสูง หรือต่อเนื่อง อาจทำให้เอนไซม์ตับทำงานผิดปกติ และเกิดการอักเสบ หรือความเสียหายของเซลล์ตับ
- ทำให้คลื่นไส้ หรือเวียนหัวได้ การสูดดมไอระเหย หรือรับประทานผลิตภัณฑ์ ที่มีแซฟรอลเข้มข้น อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือวิงเวียนศีรษะได้ในบางคน
- เป็นสารตั้งต้น ของสารผิดกฎหมายบางชนิด แซฟรอลสามารถนำไปใช้ สังเคราะห์ยาเสพติด ประเภท MDMA จึงถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ในหลายประเทศ
- ห้ามใช้ในอาหาร และเครื่องดื่ม องค์การ FDA ได้สั่งห้ามใช้แซฟรอล เป็นวัตถุแต่งกลิ่นรส ตั้งแต่ปี 1960 เนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพ และพิษสะสมในระยะยาว
- อาจรบกวน ระบบประสาทส่วนกลาง การได้รับแซฟรอล ในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดอาการสั่น กล้ามเนื้อกระตุก หรืออ่อนแรงชั่วคราว เนื่องจากสารนี้ สามารถผ่าน เข้าสู่สมอง และมีผล ต่อระบบประสาทโดยตรง
- อาจทำให้หัวใจ เต้นผิดจังหวะ แซฟรอลมีฤทธิ์ กระตุ้นระบบหัวใจ และหลอดเลือด หากได้รับมากเกินไป อาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นอันตราย ต่อผู้ที่มีโรคหัวใจอยู่แล้ว
- กระตุ้นการหดตัว ของมดลูก พบว่าแซฟรอล มีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อเรียบ ของมดลูก จึงไม่แนะนำ ให้หญิงตั้งครรภ์ ใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีสารนี้ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการแท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด
- อาจทำให้เกิดอาการ แพ้ทางผิวหนัง การสัมผัส น้ำมันหอมระเหย ที่มีแซฟรอล ในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดผื่นแดง คัน หรือการอักเสบของผิวหนัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
- มีโอกาสสะสมในร่างกาย หากใช้ต่อเนื่อง แม้จะได้รับในปริมาณน้อย แต่หากบริโภค หรือใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีแซฟรอล เป็นประจำ สารนี้สามารถสะสม ในตับ และไขมัน ส่งผลให้เกิดพิษเรื้อรัง และเพิ่มความเสี่ยง ต่อโรคตับ ในระยะยาว
ประโยชน์ของแซฟรอลคืออะไร?
- ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัว แซฟรอลเป็นสารหอมตามธรรมชาติ ที่ให้กลิ่นหวาน อบอุ่น คล้ายวานิลลา และอบเชย จึงเคยถูกใช้ในน้ำหอม และผลิตภัณฑ์แต่งกลิ่นต่างๆ
- ใช้ในอุตสาหกรรมเคมี และเครื่องหอม เป็นวัตถุดิบตั้งต้น ในการผลิตสารแต่งกลิ่น และสารประกอบกลุ่มฟีนิลโพรเพนเช่น santolinalol และ eugenol
- มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ งานวิจัยบางชิ้น พบว่าแซฟรอล สามารถยับยั้งการเกิดออกซิเดชัน ในระดับปานกลาง ช่วยลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ในระบบชีวภาพ
- มีศักยภาพต้านเชื้อจุลชีพ สารสกัดน้ำมันแซฟรอล แสดงฤทธิ์ยับยั้งการเติบโต ของแบคทีเรีย และเชื้อราได้บางชนิด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในรูปแบบนาโนอิมัลเจล
- แนวโน้มใช้ในงานวิจัยยา และเครื่องสำอาง ปัจจุบันมีการศึกษาการใช้แซฟรอล ในรูปแบบนาโน เพื่อเพิ่มการดูดซึม และความคงตัวของสาร ทำให้มีโอกาสนำไปประยุกต์ ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว หรือการแพทย์ในอนาคต
- ใช้เป็นสารตั้งต้น ในการสังเคราะห์ วัตถุดิบอุตสาหกรรมยา แซฟรอลถูกนำมาใช้ เป็นวัตถุดิบพื้นฐาน ในการผลิตสารอินทรีย์ ที่มีโครงสร้างฟีนิลเช่น piperonal และ heliotropin ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ ของยาบางชนิด และผลิตภัณฑ์กลุ่มเภสัชเคมี
- มีคุณสมบัติ ช่วยขับแมลงตามธรรมชาติ กลิ่นของแซฟรอล มีฤทธิ์ไล่แมลงบางชนิด จึงเคยถูกนำมาใช้ ในผลิตภัณฑ์กันแมลง จากธรรมชาติ หรือใช้แต่งกลิ่น ในสมุนไพรไล่ยุง และแมลงในบ้าน
- ใช้แต่งกลิ่น ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และเครื่องใช้ในบ้าน ด้วยกลิ่นหอมหวาน และสดชื่น แซฟรอลเคยถูกใช้ในสบู่ เทียนหอม และน้ำยาทำความสะอาด เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ที่คงทน และให้ความรู้สึก ที่ผ่อนคลาย
- มีบทบาท ในการวิจัย ด้านกลไกการเกิดมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์ ใช้แซฟรอล เป็นโมเดลสาร ในการศึกษา กระบวนการเปลี่ยนแปลง ของสารเคมีในตับ และกลไกการก่อมะเร็ง เพื่อใช้พัฒนา แนวทางป้องกัน และยับยั้ง การเกิดเนื้องอกในอนาคต
- ใช้เป็นตัวอย่าง ในงานศึกษา พฤติกรรมทางชีวเคมี ของสารหอมระเหย แซฟรอลมักถูกใช้ ในการทดลอง เพื่อทำความเข้าใจ ปฏิกิริยาทางเคมี ของสารหอมระเหย ในกลุ่ม phenylpropene ช่วยให้นักวิจัย ออกแบบสารหอมใหม่ ที่ปลอดภัย และคงกลิ่น ได้ยาวนานยิ่งขึ้น
สรุปแล้ว ผลไม้อะไรที่มีแซฟรอลสูง
ผลไม้ที่มีแซฟรอลสูง ส่วนใหญ่จะพบในผลไม้ ที่มีกลิ่นหอมจัด หรือมีกลิ่นแนวเครื่องเทศ โดยมะเฟืองถือเป็นผลไม้สด ที่ตรวจพบแซฟรอลมากที่สุด ส่วนผลไม้ตระกูลส้ม มะกรูด และมะนาวบางพันธุ์ พบเพียงเล็กน้อย จนไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่หากได้รับในรูปแบบเข้มข้น อาจเป็นพิษต่อตับ และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งได้
ผลไม้ที่มีแซฟรอลปลอดภัยไหม?
โดยทั่วไป การรับประทานผลไม้ ที่มีแซฟรอลตามธรรมชาติ ถือว่าปลอดภัย เพราะปริมาณที่พบในผลไม้สด เช่นมะเฟือง หรือส้มบางชนิด มีอยู่เพียงเล็กน้อย ที่ไม่ก่อให้เกิดพิษต่อร่างกาย แซฟรอลจะเป็นอันตรายก็ต่อเมื่อได้รับในรูปเข้มข้น เช่นน้ำมันหอมระเหย หรือสารสกัดบริสุทธิ์ ซึ่งอาจมีผลต่อตับ เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง
ได้รับแซฟรอลเท่าไหร่ถึงเป็นอันตราย?
ข้อมูลจากการศึกษา ทางพิษวิทยา ระบุว่าการได้รับแซฟรอลในปริมาณสูงกว่า 10 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมต่อวัน อาจเริ่มส่งผลต่อการทำงานของตับ และหากได้รับต่อเนื่อง ในระดับ 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมขึ้นไป อาจเกิดพิษเฉียบพลัน หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการก่อมะเร็งในระยะยาว
- Tags: สุขภาพ


