รู้ไหม ผลไม้อะไรที่มี Phorbol esters สูง

ผลไม้อะไรที่มี Phorbol esters สูง

ผลไม้อะไรที่มี Phorbol esters สูง อาจเป็นคำถามที่ฟังดูแปลก สำหรับหลายคน เพราะสารฟอร์บอลเอสเทอร์ ไม่ใช่สารอาหารที่ร่างกายต้องการ แต่เป็นสารธรรมชาติ ที่พืชบางชนิดสร้างขึ้น เพื่อป้องกันตนเองจากแมลง และเชื้อโรค สารนี้แม้จะในปริมาณเล็กน้อย แต่ก็อาจมีผลต่อสุขภาพหากได้รับมากเกินไปหรือผ่านการเตรียมที่ไม่เหมาะสม

  • ฟอร์บอลเอสเทอร์คืออะไร?
  • ผลไม้ที่มีฟอร์บอลเอสเทอร์สูง
  • ผลข้างเคียงของฟอร์บอลเอสเทอร์

สารฟอร์บอลเอสเทอร์ คืออะไร?

ฟอร์บอลเอสเทอร์คือสารประกอบ ในกลุ่มไดเทอร์พีนอยด์ ที่พบตามธรรมชาติในพืช โดยเฉพาะพืชตระกูล Euphorbiaceae และ Thymelaeaceae สารนี้มีโครงสร้างซับซ้อนแบบ polycyclic และเกิดจากการเชื่อมของโมเลกุลฟอร์บอล กับกรดไขมันในตำแหน่งต่างๆ ทำให้เกิดอนุพันธ์หลายชนิด ที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพต่างกัน

ฟอร์บอลเอสเทอร์จึงไม่ใช่สารเดี่ยว แต่เป็นกลุ่มของสารที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกัน และแสดงฤทธิ์ทางเคมีคล้ายกัน ในร่างกายสัตว์และมนุษย์ ในทางชีวเคมี ฟอร์บอลเอสเทอร์มีคุณสมบัติคล้ายสารไดอะซิลกลีเซอรอล ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นธรรมชาติ ของเอนไซม์ Protein Kinase C หรือ การกระตุ้น PKC อย่างต่อเนื่อง

โดยฟอร์บอลเอสเทอร์ทำให้เกิดการรบกวนการส่งสัญญาณภายในเซลล์ ส่งผลให้เซลล์เกิดการอักเสบ การแบ่งตัวผิดปกติ หรือแม้แต่กระตุ้นกระบวนการเกิดเนื้องอกได้ในบางกรณี นอกจากนี้ฤทธิ์ของฟอร์บอลเอสเทอร์ ยังขึ้นอยู่กับชนิดของอนุพันธ์ และปริมาณที่ได้รับ ซึ่งอาจส่งผลทั้งใน หรือในทางลบ (กรกฎาคม 2007) [1]

ประวัติ ฟอร์บอลเอสเทอร์ การค้นพบ

ฟอร์บอลเอสเทอร์ถูกค้นพบครั้งแรก ในช่วงปี 1930 เมื่อมีการสกัดสารจากน้ำมัน Croton ที่ได้จากเมล็ดของพืช Croton tiglium ซึ่งเป็นพืชในวงศ์ Euphorbiaceae นักเคมีพบว่าน้ำมันนี้ มีฤทธิ์ระคายเคืองผิวหนัง และสามารถกระตุ้น การเจริญของเนื้องอกได้ จึงเริ่มมีการศึกษาเชิงลึก เพื่อหาสารออกฤทธิ์ที่เป็นต้นเหตุ

ต่อมาในปี 1934 นักวิทยาศาสตร์ สามารถแยกสารฟอร์บอล ออกมาได้สำเร็จ และใช้เวลานานกว่า 3 ทศวรรษ จึงจะเข้าใจโครงสร้างทางเคมีของมัน อย่างครบถ้วน โดยในปี 1967 ได้มีการกำหนดโครงสร้างของฟอร์บอลอย่างถูกต้องเป็นครั้งแรก จากนั้นการวิจัยในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ถึง 1980 ได้เปิดเผยว่า

ฟอร์บอลเอสเทอร์ ไม่เพียงเป็นสารที่มีฤทธิ์ระคายเคือง แต่ยังสามารถกระตุ้นเอนไซม์ Protein Kinase C ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญ ในกระบวนการส่งสัญญาณภายในเซลล์ การค้นพบนี้ ทำให้ฟอร์บอลเอสเทอร์กลายเป็นโมเดลสำคัญ ในการศึกษากลไกการเกิดมะเร็ง และสัญญาณชีวเคมีของเซลล์ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำได้รับความสนใจ (24 พฤษภาคม 2025) [2]

งานวิจัยพิษของฟอร์บอลเอสเทอร์

งานวิจัยชิ้นนี้อธิบายว่าสารฟอร์บอลเอสเทอร์มีความเป็นพิษสูง แม้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของสัตว์ทดลองได้ โดยเฉพาะเมื่อได้รับผ่านทางอาหาร สัตว์จะมีอาการระคายเคืองระบบย่อย อักเสบของอวัยวะภายใน และความผิดปกติของการทำงานของตับและไต

พิษดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พืชหรือผลิตภัณฑ์ที่มีฟอร์บอลเอสเทอร์ เช่น เมล็ดจากพืชในวงศ์ Euphorbiaceae ไม่สามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้โดยตรง หากไม่ผ่านกระบวนการกำจัด หรือลดระดับสารนี้ ให้ปลอดภัย กลไกความเป็นพิษของฟอร์บอลเอสเทอร์ เกิดจากการที่มัน สามารถเลียนแบบสาร DAG

ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นธรรมชาติ ของเอนไซม์โปรตีนไคเนสซี เมื่อฟอร์บอลเอสเทอร์ไปกระตุ้น PKC อย่างต่อเนื่อง จะทำให้การส่งสัญญาณภายในเซลล์ผิดปกติ นำไปสู่การอักเสบ การเปลี่ยนแปลงของการแบ่งตัวเซลล์ และอาจส่งเสริมการเกิดเนื้องอกได้ในระยะยาว จึงถือว่าเป็นสารที่มีพิษทั้งในเชิงชีวภาพและเคมี (กรกฎาคม 2007) [3]

ผลไม้อะไรที่มีฟอร์บอลเอสเทอร์สูง?

ผลไม้อะไรที่มี Phorbol esters สูง
  • มะขามเทศ เป็นผลไม้ที่มีวิตามิน และแร่ธาตุในปริมาณสูง เช่นวิตามินซีและ วิตามินอี พบฟอร์บอลเอสเทอร์ในปริมาณเล็กน้อย โดยเฉพาะในเมล็ด และเปลือก เนื้อผลที่สุก มักปลอดภัยต่อการบริโภค แต่ไม่ควรกินเมล็ดดิบ
  • ละหุ่ง เมล็ดละหุ่งมีฟอร์บอลเอสเทอร์ ร่วมกับสารพิษอื่นเช่น ricin จัดเป็นชนิดที่มีความเป็นพิษสูง ไม่เหมาะสำหรับการบริโภคโดยตรง
  • กระท้อนป่า และผลไม้ตระกูลเดียวกันในสกุล Euphorbia หรือพืชที่มีน้ำยางสีขาว พบสารในปริมาณน้อย โดยเฉพาะในยาง และเปลือก

ผลข้างเคียง ของฟอร์บอลเอสเทอร์

  • ระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ฟอร์บอลเอสเทอร์สามารถทำให้เกิดการอักเสบ แดง บวม แสบ หรือเป็นตุ่มพุพอง เมื่อสัมผัสโดยตรงกับผิวหนัง
  • กระตุ้นการอักเสบภายในร่างกาย เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ฟอร์บอลเอสเทอร์สามารถกระตุ้นการหลั่ง cytokines และกระบวนการอักเสบ ในระดับเซลล์ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ของเนื้อเยื่อหรือตับ หากได้รับในปริมาณมาก
  • มีฤทธิ์ส่งเสริมการเกิดเนื้องอก การกระตุ้นเอนไซม์โปรตีนไคเนสซีอย่างต่อเนื่อง โดยฟอร์บอลเอสเทอร์ ทำให้การควบคุมการเจริญของเซลล์ เสียสมดุล และอาจส่งเสริมการพัฒนา เนื้องอกในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อได้รับร่วมกับสารก่อกลายพันธุ์อื่น
  • เป็นพิษต่อตับ และไตในสัตว์ทดลอง การได้รับฟอร์บอลเอสเทอร์จากอาหาร หรือสารสกัดพืช เช่นเมล็ด Jatropha curcas ทำให้ตับและไต เกิดการอักเสบ และอาจรบกวนการทำงาน ของเอนไซม์ ที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสารพิษ
  • ทำให้ระบบทางเดินอาหารระคายเคือง เมื่อรับประทานเข้าไป ฟอร์บอลเอสเทอร์ สามารถทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือปวดท้องได้ เนื่องจากสารนี้ มีฤทธิ์กระตุ้นเยื่อบุ และระบบย่อยอาหารอย่างรุนแรง

ประโยชน์ของฟอร์บอลเอสเทอร์

  • ใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัยเซลล์และมะเร็ง ฟอร์บอลเอสเทอร์โดยเฉพาะชนิด TPA ถูกใช้ในห้องปฏิบัติการ เพื่อศึกษากระบวนการ ส่งสัญญาณของเซลล์ การกระตุ้นโปรตีนไคเนสซี และกลไกการเกิดเนื้องอก ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจการเจริญ และการควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ได้
  • มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ฟอร์บอลเอสเทอร์บางชนิด มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญ ของแบคทีเรีย และเชื้อราในระดับหนึ่ง จึงมีการศึกษา นำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ หรือสารป้องกันการเน่าเสีย จากพืชธรรมชาติ
  • ออกฤทธิ์กำจัดแมลง และสัตว์น้ำบางชนิด สารฟอร์บอลเอสเทอร์จากพืช ในสกุล Jatropha ถูกใช้ในงานเกษตร เพื่อกำจัดหอย และแมลงศัตรูพืช โดยเฉพาะในพื้นที่ ที่หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์
  • มีศักยภาพ ในการต้านการอักเสบ และมะเร็งบางชนิด แม้จะมีความเป็นพิษ แต่ในปริมาณต่ำ และผ่านการปรับโครงสร้างบางแบบ ฟอร์บอลเอสเทอร์บางชนิด สามารถยับยั้ง กระบวนการอักเสบ หรือชะลอการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ จึงเป็นที่สนใจ ในการพัฒนา เป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพในอนาคต
  • ใช้ในการศึกษาการตอบสนอง ของระบบภูมิคุ้มกัน ฟอร์บอลเอสเทอร์ สามารถกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิด T-cell และ B-cell ได้ในระดับเซลล์ จึงมักถูกใช้เป็นตัวกระตุ้นในงานวิจัยด้านภูมิคุ้มกันเพื่อทดสอบการทำงานของเซลล์และโปรตีนในระบบนี้

สรุปแล้ว ผลไม้อะไรที่มีฟอร์บอลเอสเทอร์สูง

ผลไม้ที่มีฟอร์บอลเอสเทอร์สูง มักอยู่ในกลุ่มพืชที่มีน้ำยาง หรือเมล็ดที่มีพิษ เช่น มะขามเทศ ละหุ่ง กระท้อนป่า แม้เนื้อผลของพืชเหล่านี้ บางชนิดจะสามารถรับประทานได้เมื่อสุก หรือผ่านการปรุงอย่างถูกวิธี แต่ส่วนของเมล็ด ยาง และเปลือกมัก มีฟอร์บอลเอสเทอร์ในระดับสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือพิษได้

ใครที่ควรระวังฟอร์บอลเอสเทอร์?

ผู้ที่ควรระวังสารฟอร์บอลเอสเทอร์เป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ผู้ป่วยโรคตับหรือโรคไต ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ รวมถึงเด็ก และหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากสารนี้ อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ หรือทำให้ตับทำงานหนักขึ้นได้ หากได้รับจากพืชหรือผลไม้ที่มีปริมาณสูง ควรเลี่ยงการสัมผัสยาง เพราะสามารถซึมผ่านผิวหนังได้

หลีกเลี่ยงฟอร์บอลเอสเทอร์ยังไง?

เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากฟอร์บอลเอสเทอร์ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้ หรือผลิตภัณฑ์ที่มียางขาวข้น หรือมีรสเฝื่อนขม ที่ผิดปกติ เพราะอาจเป็นสัญญาณ ของการมีสารนี้ ในปริมาณสูง ควรล้างผลไม้ให้สะอาด ปอกเปลือกหรือล้างยางออก ก่อนรับประทาน และไม่ควรกินผลดิบ จากพืชในวงศ์ยูโฟร์เบียโดยตรง

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง