
ควรรู้ไว้ ผลไม้อะไรที่มี Lotaustralin สูง
- Fiona
- 15 views

ผลไม้อะไรที่มี Lotaustralin สูง อาจเป็นคำถามที่หลายคนไม่เคยนึกถึง เพราะชื่อสารนี้ ฟังดูแปลกหู แต่จริงๆแล้ว โลทอสตราลินเป็นหนึ่งในสารธรรมชาติ ที่พบในพืชบางชนิด การหยิบยกคำถามนี้ขึ้นมา เป็นการเปิดโลกของสารพิษธรรมชาติ ที่แฝงอยู่ในอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน
- โลทอสตราลินคืออะไร?
- ผลไม้อะไรที่มีโลทอสตราลิน?
- อาการจากการได้รับโลทอสตราลิน
สารพิษโลทอสตราลิน คืออะไร?
โลทอสตราลินคือสารธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่พืชบางชนิด สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง จากแมลงหรือสัตว์ที่มากิน พบได้ในมันสำปะหลัง, ถั่วลิมา, โคลเวอร์ขาว, Rhodiola rosea และพืชตระกูล Lotus สารนี้อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Cyanogenic glucosides ซึ่งถ้าถูกย่อยสลาย จะสามารถปล่อยสารพิษ Cyanide ออกมาได้
สารนี้มีโครงสร้างคล้ายกับ linamarin ที่หลายคนอาจเคยได้ยิน ต่างกันเพียงเล็กน้อย ในส่วนประกอบทางเคมีเท่านั้น เมื่อร่างกาย หรือเอนไซม์ในพืช ไปทำให้โลทอสตราลินแตกตัว มันจะปล่อย glucose และสารที่กลายเป็น Hydrogen cyanide ซึ่งเป็นพิษต่อคน และสัตว์ ถ้ากินมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้ (10 กรกฎาคม 2024) [1]
งานวิจัยการสังเคราะห์โลทอสตราลิน
งานวิจัยโดย OUP Academic ที่ตีพิมพ์ใน Plant Physiology เล่มที่ 155 ฉบับที่ 1 ในเดือนมกราคม 2011 ได้อธิบายเส้นทาง การสร้างสารกลุ่มไซยาโนเจนิกกลูโคไซด์ ในมันสำปะหลัง โดยมุ่งเน้นไปที่การระบุเอนไซม์ และยีนที่เกี่ยวข้อง กับกระบวนการแปลงสารตั้งต้น oximes ไปเป็น cyanohydrins
นักวิจัยใช้ข้อมูลจากเอนไซม์ CYP71E1 ในข้าวฟ่าง เพื่อหายีนที่คล้ายกันในมันสำปะหลัง และพบยีนใหม่ชื่อ CYP71E7 คล้ายกัน 50% การทดลองในเซลล์ยีสต์ แสดงว่าเอนไซม์นี้ สามารถเปลี่ยนสารจากกรดอะมิโน valine และ isoleucine ไปเป็น cyanohydrins ซึ่งสลายต่อไปเป็นเคโทน และไฮโดรเจนไซยาไนด์
ผลยืนยันด้วย LC-MS วัดได้อัตราการทำงาน 17–21 นาที อีกทั้งยีน CYP71E7 ยังทำงานร่วมกับ CYP79D1 และแสดงออกในใบ และก้านของมันสำปะหลัง บ่งชี้ถึงบทบาทร่วม ในเส้นทางการสังเคราะห์ linamarin และ lotaustralin แสดงถึงเส้นทางการสังเคราะห์ linamarin และ lotaustralin เป็นระบบในพืชชนิดนี้ (2 พฤศจิกายน 2010) [2]
โลทอสตราลิน รักษามะเร็ง
บทความรีวิวที่ตีพิมพ์ในปี 2020 กล่าวถึงการศึกษาสารไซยาโนเจนิกกลูโคไซด์ รวมทั้งโลทอสตราลิน ว่าเป็นสารธรรมชาติ ที่มีทั้งด้านพิษ และศักยภาพทางการแพทย์ งานวิจัยเรื่องพิษ ถูกพูดถึงมานาน โดยเฉพาะการทดลอง ทางคลินิกกับ amygdalin ในปี 1982 ที่แสดงข้อจำกัด และความเสี่ยงของการใช้สารนี้ในคน
ต่อมาในช่วงทศวรรษ 2000–2010 มีงานศึกษาด้านการเผาผลาญอาหาร และการประเมินความเสี่ยง ของการได้รับสารจากอาหาร เพื่อทำความเข้าใจว่า กระบวนการย่อยสลาย สามารถปล่อยไฮโดรเจนไซยาไนด์ ที่เป็นพิษ ต่อระบบหายใจ และระบบประสาทได้อย่างไร
รีวิวปี 2020 จึงรวบรวมความรู้ จากหลายช่วงเวลา ตั้งแต่การค้นพบพิษในอาหาร การติดตามผลทางคลินิก การมองหาศักยภาพใหม่ๆ แม้สารเหล่านี้มีอันตราย หากได้รับมากเกินไป แต่ก็อาจถูกนำมาประยุกต์ใช้ เป็นยาต้นแบบ ในแนวทางรักษามะเร็ง แบบเจาะจงเป้าหมาย เป็นแนวคิด ที่ได้รับความสนใจในปัจจุบัน (กุมภาพันธ์ 2020) [3]
ผลไม้อะไรที่มีโลทอสตราลิน?
- Apricot เมล็ดของแอปริคอต หรือที่เรียกว่า apricot kernel เป็นหนึ่งในแหล่งที่มีไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์สูง รวมถึงโลทอสตราลิน การบริโภคดิบๆ มากเกินไป อาจก่อให้เกิดพิษไซยาไนด์
- Peach เมล็ดแข็งด้านในของพีช มีโลทอสตราลิน เช่นเดียวกับ amygdalin สารเหล่านี้ ทำให้เมล็ดพีชดิบ มีรสขม และอาจเป็นพิษได้ ถ้ากินปริมาณมาก
- Plum ผลพลัมมีเมล็ดแข็ง ที่เก็บสะสมสารกลุ่มนี้ การเคี้ยว หรือการบดเมล็ด สามารถทำให้สารถูกปล่อยออกมา
- Cherry เมล็ดเชอร์รี มีไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์หลายชนิด รวมถึงโลทอสตราลิน การกลืนเมล็ดทั้งเมล็ด ไม่ค่อยเป็นอันตราย แต่ถ้าทุบ หรือเคี้ยวจะแตกตัวผ่าน การย่อยอาหาร จะปล่อยสารพิษได้
- Apple เมล็ดแอปเปิล มีปริมาณโลทอสตราลิน และสารคล้ายกันเล็กน้อย กินเมล็ดไม่กี่เมล็ดจะไม่ก่อพิษ แต่ถ้าบด และกินจำนวนมาก ก็อาจเป็นอันตราย
- Pear เมล็ดแพร์ คล้ายกับแอปเปิล มีปริมาณไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์เล็กน้อย แต่ไม่ถือว่าเป็นอันตราย จากการบริโภคทั่วไป เว้นแต่จะบริโภคเมล็ดมากผิดปกติ
- Loquat เมล็ดโลควอตมีโลทอสตราลิน และไซยาโนเจนิกกลูโคไซด์อื่นๆ ในระดับที่สูงกว่าแอปเปิล หรือแพร์ เนื้อผลที่กินได้นั้นปลอดภัย แต่เมล็ดไม่ควรนำมารับประทาน
อาการจากการได้รับโลทอสตราลิน
- คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เกิดจากการระคายเคือง ระบบทางเดินอาหาร เมื่อมีไซยาไนด์สะสม
- เวียนศีรษะ ปวดหัว อ่อนเพลีย เนื่องจากไซยาไนด์ไปขัดขวางการใช้ออกซิเจนของเซลล์ ทำให้สมอง และกล้ามเนื้อขาดพลังงาน
- หายใจลำบาก หายใจเร็วหรือหอบ เพราะไซยาไนด์ ทำให้ร่างกาย ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากออกซิเจนได้ แม้ออกซิเจนในเลือด จะยังมีอยู่
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตตก เนื่องจากระบบไหลเวียนเลือด ถูกรบกวน
- อาการชัก หมดสติ ในกรณีที่ได้รับปริมาณสูงมาก อาจเกิดพิษรุนแรง ถึงขั้นโคม่า
- อันตรายถึงชีวิต หากได้รับสารในปริมาณที่มากเกินไป โดยไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที
เมล็ดแอปเปิล กินเท่าไหร่ถึงอันตราย?

เมล็ดแอปเปิลมี ไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ เช่นสาร amygdalin และโลทอสตราลิน ในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งเมื่อถูกย่อย จะปล่อยไฮโดรเจนไซยาไนด์ออกมา ข้อมูลพิษวิทยาระบุว่า ผู้ใหญ่ต้องกินเมล็ดแอปเปิลประมาณ 150–200 เมล็ด ที่บดหรือเคี้ยวละเอียด จึงจะถึงระดับที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ส่วนเด็กอาจต้องการปริมาณน้อยกว่านั้นมาก การกลืนเมล็ดไม่กี่เมล็ด ทั้งเมล็ดโดยไม่เคี้ยว มักไม่ก่อพิษ เพราะเปลือกแข็งของเมล็ด ยังห่อหุ้มสารอยู่ แต่การบด หรือเคี้ยวจำนวนมาก จะเพิ่มการปลดปล่อยไซยาไนด์ และเพิ่มความเสี่ยง จึงไม่ควรกินเมล็ดแอปเปิลจำนวนมาก
สรุปแล้ว ผลไม้อะไรที่มีโลทอสตราลินสูง
เมล็ดแอปริคอต พีช พลัม เชอร์รี แอปเปิล แพร์ และโลควอต ที่ล้วนมีโลทอสตราลิน และไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ ซึ่งสามารถปล่อยไฮโดรเจนไซยาไนด์ออกมาได้ เมื่อถูกบดหรือเคี้ยว หากกินในปริมาณมากอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้นการรู้เท่าทัน เลี่ยงการบริโภคเมล็ด จะช่วยให้เราเลือกกินผลไม้ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
ได้รับโลทอสตราลินเท่าไหร่อันตราย?
ปริมาณโลทอสตราลิน ที่ทำให้เกิดอันตราย ขึ้นอยู่กับปริมาณไซยาไนด์ ที่ถูกปลดปล่อยออกมา งานวิจัยด้านพิษวิทยา ระบุว่าปริมาณ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ประมาณ 0.5–3.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และโดยทั่วไปการได้รับ 20 มิลลิกรัมขึ้นไป อาจเริ่มมีอาการพิษ
ได้รับโลทอสตราลิน รักษายังไง?
การรักษาพิษจากโลทอสตราลิน ใช้แนวทางเดียว กับการรักษาพิษไซยาไนด์ โดยนำผู้ป่วยออกจากแหล่งพิษ ให้การช่วยหายใจ และให้ออกซิเจน 100% ทันที แพทย์จะพิจารณาให้ ยาต้านพิษไซยาไนด์ นอกจากนี้ จะให้การรักษาตามอาการ การรักษาต้องทำในโรงพยาบาล และต้องรวดเร็ว เพื่อป้องกันอันตรายถึงชีวิต
- Tags: สุขภาพ


