สารน่าสนใจ ผลไม้อะไรที่มี Limonoid สูง

ผลไม้อะไรที่มี Limonoid สูง

ผลไม้อะไรที่มี Limonoid สูง อาจเป็นคำถาม ที่ทำให้หลายคนสงสัย เพราะชื่อของสารลิโมนอยด์อาจไม่คุ้นหูเท่าไหร่นัก แต่แท้จริงแล้ว ลิโมนอยด์เป็นสารธรรมชาติ ที่พืชสร้างขึ้นในกลุ่มเทอร์พีนอยด์ ลิโมนอยด์เป็นหนึ่งในสารพฤกษเคมี ที่ถูกศึกษามากที่สุด ในโลกของผลไม้ และพืชสมุนไพรในปัจจุบัน

  • ลิโมนอยด์คืออะไร?
  • งานวิจัยเกี่ยวกับลิโมนอยด์
  • ผลไม้ที่มีลิโมนอยด์สูง

สารลิโมนอยด์คืออะไร?

ลิโมนอยด์ คือสารประกอบธรรมชาติ ในกลุ่มเทอร์พีนอยด์ ที่พบมากในผลไม้ตระกูลส้ม เช่นส้มโอ มะนาว และมะกรูด รวมถึงพืชบางชนิดในตระกูลสะเดา สารนี้มีโครงสร้างซับซ้อน ประกอบด้วยวงแหวนหลายชั้นและมักมี furan ring เป็นเอกลักษณ์ จัดอยู่ในกลุ่มสาร tetranortriterpenes ซึ่งเป็นเทอร์พีนอยด์ที่มีการเติมออกซิเจนสูง

จุดเด่นของลิโมนอยด์คือให้รสขมอ่อนๆ ในผลไม้ และเป็นสารที่พืชสร้างขึ้น เพื่อป้องกันตัวจากแมลง หรือเชื้อโรคทางธรรมชาติ นอกจากบทบาททางนิเวศวิทยาแล้ว ลิโมนอยด์ยังเป็นสารพฤกษเคมี ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ในทางการแพทย์ และเภสัชศาสตร์ เนื่องจากมีคุณสมบัติทางชีวภาพหลายด้าน

ทั้งการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านมะเร็ง รวมถึงมีศักยภาพในการปกป้องเซลล์ประสาทและ เสริมระบบภูมิคุ้มกัน งานวิจัยสมัยใหม่ ยังคงพัฒนาวิธีสกัด และสังเคราะห์ลิโมนอยด์จากเปลือก หรือเมล็ดผลไม้ เพื่อใช้ในอาหารเสริม ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในอนาคต (13 พฤศจิกายน 2016) [1]

ประวัติ ลิโมนอยด์ การค้นพบครั้งแรก

ลิโมนอยด์เป็นสารประกอบธรรมชาติ ในกลุ่มเทอร์พีนอยด์ ที่นักเคมีเริ่มให้ความสนใจ ตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 หลังจากพบว่า สารที่ให้รสขม ในผลไม้ตระกูลส้ม เช่นส้มโอ และมะนาว มีโครงสร้างทางเคมีเฉพาะตัว ที่ต่างจากสารเทอร์พีนชนิดอื่น การแยกสารสำคัญอย่าง Limonin และ Nomilin

ในช่วงทศวรรษ 1940–1950 จึงถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการทำความเข้าใจ สารกลุ่มนี้อย่างเป็นระบบ ต่อมามีการค้นพบว่าสารลิโมนอยด์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในผลไม้รสเปรี้ยวเท่านั้น แต่ยังพบได้ในพืชตระกูลสะเดา และพืชเขตร้อนอื่นๆ อีกหลายชนิด

นักวิทยาศาสตร์ในช่วงครึ่งหลัง ของศตวรรษที่ 20 จึงเริ่มศึกษาคุณสมบัติ ทางชีวภาพของมัน ทั้งในด้านการต้านอนุมูลอิสระ การต้านแมลง และศักยภาพในการต้านมะเร็ง ทำให้ลิโมนอยด์ กลายเป็นสารพฤกษเคมี ที่มีบทบาทสำคัญ ทั้งในเชิงนิเวศวิทยา และการแพทย์จนถึงปัจจุบัน (29 กันยายน 2025) [2]

งานวิจัยทางชีวภาพของลิโมนอยด์

งานวิจัยเรื่องโมนอยด์ ซึ่งเป็นสารธรรมชาติ ในผลไม้ตระกูลส้ม มีศักยภาพทางชีวภาพที่โดดเด่น โดยเฉพาะในด้านการต้านมะเร็ง สารสำคัญอย่างลิโมนิน โนมิลิน และโอบาคูโนน ถูกพบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด ช่วยกระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็งตามธรรมชาติ

และยับยั้งการแพร่กระจาย ของเซลล์ในระยะต่างๆ ของการทดลอง ทั้งในระดับเซลล์ และในสัตว์ทดลอง ผลเหล่านี้ ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ ของการนำลิโมนอยด์ มาพัฒนาเป็นสารออกฤทธิ์ทางยาในอนาคต นอกจากฤทธิ์ต้านมะเร็งแล้ว ลิโมนอยด์ยังมีคุณสมบัติหลากหลาย เช่นต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ

ต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส รวมถึงมีฤทธิ์ป้องกันแมลง และปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย งานวิจัยยังชี้ว่าความหลากหลาย ทางโครงสร้างของลิโมนอยด์ ส่งผลต่อความแรง ของฤทธิ์ชีวภาพแต่ละชนิด ซึ่งการดัดแปลงโครงสร้าง หรือสังเคราะห์อนุพันธ์ใหม่ๆ อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ทางเภสัชศาสตร์ได้มากยิ่งขึ้น (ธันวาคม 2020) [3]

ผลไม้อะไรบ้างที่มีลิโมนอยด์สูง?

ผลไม้อะไรที่มี Limonoid สูง
  • ส้มโอ เป็นผลไม้ที่มีลิโมนอยด์สูงที่สุดในกลุ่มส้ม โดยเฉพาะในส่วนของเปลือก และเมล็ด มีสารลิโมนิน และโนมิลิน ซึ่งเป็นตัวให้รสขมอ่อนๆ
  • มะนาว มีปริมาณลิโมนอยด์รองลงมา โดยสารสำคัญ อยู่ในส่วนเปลือก และเนื้อขาว มีบทบาทในการต้านจุลชีพ และลดการอักเสบ ช่วยให้กลิ่นหอม และรสขมอ่อนของมะนาว มีเอกลักษณ์เฉพาะ
  • ส้มแมนดาริน พบลิโมนอยด์ในระดับปานกลาง มีทั้งลิโมนินและ Obacunone ที่ช่วยต้านการอักเสบ และต้านเซลล์มะเร็งบางชนิด
  • มะกรูด เปลือกและใบมะกรูด มีลิโมนอยด์หลายชนิด ทำหน้าที่ป้องกันแมลงตามธรรมชาติ และให้กลิ่นหอม ที่เกิดจากสารในกลุ่มเทอร์พีนอยด์ ร่วมกับลิโมนอยด์
  • ส้มเขียวหวาน แม้จะมีรสหวาน แต่ในส่วนของเปลือก และเมล็ด ยังคงมีลิโมนอยด์อยู่พอสมควร โดยเฉพาะในผลที่ยังไม่สุกจัด

อันตรายจากลิโมนอยด์คืออะไร?

  • รสขมและระคายกระเพาะอาหาร ลิโมนอยด์โดยเฉพาะในเปลือก และเมล็ดส้มมีรสขมจัด การบริโภคมากเกินไป อาจทำให้คลื่นไส้ หรือจุกแน่นได้ในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อน หรือกระเพาะอาหารอักเสบ
  • อาจกระตุ้นการทำงาน ของตับมากเกินไป ลิโมนอยด์บางชนิด มีผลกระตุ้นเอนไซม์ในตับเช่น cytochrome P450 หากบริโภค ในรูปแบบสกัดเข้มข้น อาจรบกวนการเผาผลาญยาบางชนิด
  • เสี่ยงระคายเคืองทางเดินอาหาร ในปริมาณสูง การบริโภคสารสกัดลิโมนอยด์ที่เข้มข้น อาจทำให้ท้องอืด หรือท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์ขับน้ำดี และกระตุ้นระบบย่อยอาหาร
  • ผลต่อฮอร์โมน และการตั้งครรภ์ในสัตว์ทดลอง มีรายงานบางฉบับว่า ลิโมนอยด์บางชนิด อาจรบกวนสมดุลฮอร์โมน ในสัตว์ทดลอง เมื่อได้รับปริมาณสูงมาก แม้จะยังไม่พบผลชัดเจนในคน แต่หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เสริม ที่มีความเข้มข้นสูง
  • ข้อมูลด้านความปลอดภัย ในระยะยาวยังจำกัด งานวิจัยส่วนใหญ่ ยังอยู่ในระดับห้องทดลอง และสัตว์ทดลอง จึงควรบริโภคจากแหล่งธรรมชาติ เช่นผลไม้ตระกูลส้ม แทนการใช้สารสกัดในรูปแบบเข้มข้น โดยไม่มีคำแนะนำ จากผู้เชี่ยวชาญ

ประโยชน์ของลิโมนอยด์คืออะไร?

  • ต้านมะเร็ง ลิโมนอยด์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต ของเซลล์มะเร็ง และกระตุ้นการตายของเซลล์ ที่ผิดปกติ โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม ตับ และลำไส้ใหญ่
  • ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ จากอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
  • ต้านการอักเสบ ลดการหลั่งสารก่อการอักเสบในร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการอักเสบเรื้อรัง เช่นข้ออักเสบ หรือภาวะลำไส้อักเสบ
  • ต้านจุลชีพและไวรัส มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย และไวรัสบางชนิด รวมถึงเชื้อราที่ก่อโรค
  • ช่วยควบคุมไขมัน และน้ำตาลในเลือด มีรายงานว่าลิโมนอยด์บางชนิด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และเสริมการทำงาน ของเอนไซม์ในตับ
  • ปกป้องเซลล์ประสาทและตับ บางชนิดมีฤทธิ์ ป้องกันความเสียหาย ของเซลล์ประสาท และลดพิษต่อตับ จากสารเคมี

สรุปแล้ว ผลไม้อะไรที่มี ลิโมนอยด์สูง

ผลไม้ที่มีลิโมนอยด์สูงที่สุด คือกลุ่มผลไม้ตระกูลส้ม โดยเฉพาะส้มโอ มะนาว ส้มแมนดาริน มะกรูด และส้มเขียวหวาน แม้ลิโมนอยด์จะเป็นสารพฤกษเคมี ที่มีด้านคุณประโยชน์ แต่ก็มีข้อควรระวัง เมื่อได้รับในปริมาณสูง หรือในรูปแบบสกัดเข้มข้น ดังนั้นการได้รับจากผลไม้ธรรมชาติ ในปริมาณพอดีถือว่าปลอดภัย

ปริมาณลิโมนอยด์ที่ปลอดภัยอยู่ที่เท่าไร?

ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนด ปริมาณมาตรฐานของลิโมนอยด์ที่ชัดเจนต่อวัน เพราะลิโมนอยด์เป็นสารพฤกษเคมี ไม่ใช่สารอาหารจำเป็น ที่มีค่าคำแนะนำเฉพาะ แต่จากข้อมูลการบริโภคทั่วไป พบว่าปริมาณลิโมนอยด์ ที่ได้รับจากการกินผลไม้ตระกูลส้ม ในปริมาณปกติวันละ 1–2 ผล ถือว่าปลอดภัย

ผู้ใช้ยาอะไรที่ควรระวังลิโมนอยด์?

ผู้ที่ใช้ยาควรระมัดระวังสารสกัด ที่มีลิโมนอยด์เข้มข้น เพราะอาจกระตุ้นหรือยับยั้ง การทำงานของเอนไซม์ในตับ โดยเฉพาะกลุ่ม cytochrome P450 ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ในการเผาผลาญยา การได้รับในปริมาณสูง อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาบางชนิดเปลี่ยนไป เช่นยาลดไขมันในเลือด ยาคุมกำเนิด ยากันชัก หรือยาต้านไวรัส

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง