ทำความเข้าใจ ผลไม้อะไรที่มี Hypoglycin A สูง

ผลไม้อะไรที่มี Hypoglycin A สูง

ผลไม้อะไรที่มี Hypoglycin A สูง อาจเป็นคำถามที่ฟังดูแปลกสำหรับคนทั่วไป เพราะชื่อของสารนี้ ไม่ค่อยคุ้นหูในทางโภชนาการ ไฮโพไกลซินเอเป็นสารธรรมชาติ ที่มีความสำคัญทางชีวเคมี และความปลอดภัย ในการบริโภคมากกว่าที่หลายคนคิด การรู้จักสารนี้ ช่วยให้เราเลือกกินผลไม้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

  • ผลข้างเคียงของไฮโพไกลซินเอ
  • ผลไม้ที่มีไฮโพไกลซินเอ
  • หากได้รับไฮโพไกลซินเอ รักษาอย่างไร?

ประวัติ ไฮโพไกลซินเอ การค้นพบครั้งแรก

สารไฮโพไกลซินเอถูกสังเคราะห์ขึ้น ในห้องทดลองเป็นครั้งแรกในปี 1958 โดยนักเคมีชาวอเมริกัน John Carbon, William Martin และ Leo Swett ซึ่งสามารถสร้างโครงสร้างวงแหวน Cyclopropane ที่เป็นเอกลักษณ์ของสารนี้ได้สำเร็จ ถือเป็นก้าวสำคัญ ในการทำความเข้าใจสารพิษธรรมชาติ ที่พบในผลไม้

ผลไม้เช่นลูก Ackee มีความเกี่ยวข้องกับอาการ Jamaican vomiting sickness ที่เคยพบในมนุษย์ ต่อมาในปี 1992 นักเคมีชาวอังกฤษ Jack Baldwin และคณะ ได้พัฒนาวิธีการสังเคราะห์แบบ asymmetric synthesis ทำให้สามารถสร้างสารไฮโพไกลซินเอ ในรูปแบบที่มีความบริสุทธิ์ทางโครงสร้างได้อย่างแม่นยำมากขึ้น (2 ตุลาคม 2025) [1]

ผลข้างเคียง ของสารไฮโพไกลซินเอ

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นอาการหลักที่เกิดจากการที่สารนี้ ยับยั้งกระบวนการสร้างกลูโคสในตับ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ลดลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้หน้ามืด เหงื่อออก ใจสั่น หรือหมดสติได้
  • อาเจียนรุนแรง และต่อเนื่อง มักเกิดภายในไม่กี่ชั่วโมง หลังรับประทานผลไม้ที่ยังไม่สุก เป็นเหตุให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และเกลือแร่ เช่นโซเดียมหรือ โพแทสเซียม จนเกิดภาวะขาดน้ำ
  • อ่อนแรง เหนื่อยง่าย และมึนงง เนื่องจากร่างกายขาดพลังงานจากกลูโคส ส่งผลให้เซลล์สมอง และกล้ามเนื้อทำงานได้ไม่เต็มที่
  • อาการชัก และหมดสติ มักเกิดในรายที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำมาก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรือผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาทันเวลา
  • ภาวะตับทำงานผิดปกติ พบในบางกรณี ที่ได้รับสารในปริมาณมาก ทำให้เอนไซม์ตับเพิ่มขึ้น หรือเกิดภาวะตับอักเสบ จากการขัดขวางกระบวนการ ที่ร่างกายสลายกรดไขมัน ให้เป็นพลังงาน
  • ภาวะกรดเกินในเลือด เกิดจากการสะสมของกรดอินทรีย์ และคีโตนในเลือด เนื่องจากกระบวนการเผาผลาญพลังงานถูกรบกวน
  • อาจถึงขั้นเสียชีวิต ในกรณีรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา โดยเฉพาะในช่วง 12–48 ชั่วโมงหลังรับประทานผลไม้ที่มีไฮโพไกลซินเอสูง

สารไฮโพไกลซินเอ มีข้อดีอะไร?

โดยทั่วไปแล้วสารไฮโพไกลซินเอ จัดเป็นสารพิษธรรมชาติของพืช มากกว่าจะเป็นสารที่มีประโยชน์โดยตรงต่อมนุษย์ แต่ในเชิงวิทยาศาสตร์ และการแพทย์ ก็มีข้อดีอยู่บ้าง ดังนี้

  • มีคุณค่าทางการวิจัยด้าน metabolic studiesนักวิทยาศาสตร์ใช้ไฮโพไกลซินเอ เป็นโมเดลศึกษากลไกการสร้างพลังงานของร่างกาย เพราะสารนี้ ยับยั้งเอนไซม์ ในกระบวนการสลายกรดไขมัน (β-oxidation) ได้อย่างจำเพาะ จึงช่วยให้นักวิจัยเข้าใจโรคทางเมตาบอลิซึมบางชนิดเช่น MCAD deficiency ได้มากขึ้น
  • ช่วยในการพัฒนาแบบจำลองโรคในสัตว์ทดลอง เนื่องจากไฮโพไกลซินเอ ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และความผิดปกติ ของการเผาผลาญพลังงาน จึงถูกใช้สร้างแบบจำลอง เพื่อศึกษาการรักษา และกลไกของภาวะ hypoglycemia รวมถึงผลของสารพิษ ต่อการทำงานของตับ
  • ใช้ในการศึกษาพิษวิทยา และการควบคุมอาหารที่เป็นอันตราย การทำความเข้าใจผลของไฮโพไกลซินเอ ช่วยให้องค์กรด้านอาหารเช่น FDA และ WHO พัฒนามาตรฐานความปลอดภัย ของอาหารจากพืช ป้องกันการเกิดพิษในมนุษย์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เป็นตัวอย่างสำคัญ ของสารป้องกันตนเองในพืชในธรรมชาติ ไฮโพไกลซินเอทำหน้าที่ป้องกันแมลง และสัตว์กินพืช ในระยะที่ผลยังไม่สุก ถือเป็นหนึ่งในกลไกธรรมชาติ ที่สะท้อนความซับซ้อน ของวิวัฒนาการในพืช

ผลไม้อะไรที่มีไฮโพไกลซินเอ?

ผลไม้อะไรที่มี Hypoglycin A สูง
  • Ackee เป็นผลไม้จาก Jamaica ที่มีการนำเข้ามาปลูกในไทยบ้างแล้ว เป็นผลไม้ที่มีสารไฮโพไกลซินเอสูงที่สุด โดยเฉพาะในผลที่ยังไม่สุก ซึ่งอาจมีปริมาณสูงถึง 100 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมของเนื้อผลสด เมื่อผลสุกเต็มที่ จะลดลงเหลือต่ำกว่า 10 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมถือว่าปลอดภัย ต่อการบริโภค
  • ลิ้นจี่ พบว่ามีสารไฮโพไกลซินเอและ Methylenecyclopropylglycine ในปริมาณปานกลาง โดยเฉพาะในผลที่ยังไม่สุกดี ปริมาณโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20–50 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม การกินลิ้นจี่ดิบตอนท้องว่าง ในเด็กเล็ก อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
  • ลองกอง และลำไย มีรายงานว่าพบสารกลุ่มเดียวกัน ในระดับต่ำกว่าลิ้นจี่มาก ประมาณ 5–15 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม โดยทั่วไป ไม่ก่ออันตราย หากบริโภคในปริมาณปกติ และผลสุกเต็มที่
  • มะละกอดิบ พบปริมาณไฮโพไกลซินเอ เพียงเล็กน้อยประมาณ 1–5 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มักไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หากกินดิบมากเกินไป อาจทำให้คลื่นไส้ หรือระคายเคืองกระเพาะอาหาร

FDA กับเกณฑ์ความปลอดภัยในผลแอคกี

สารไฮโพไกลซินเอเป็นสารพิษ ที่ทนต่อความร้อน พบมากในผลแอคกี โดยเฉพาะผลที่ยังไม่สุก ซึ่งอาจมีปริมาณสูงถึงประมาณ 1,000 ppm ส่วนผลที่สุกเต็มที่ แม้จะยังพบสารนี้ในเปลือก และเมล็ด แต่ในเนื้อที่กินได้ มักมีปริมาณต่ำกว่ามาก จนอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อการบริโภค

FDA จึงกำหนดเกณฑ์ความปลอดภัยไว้ว่า หากผลิตภัณฑ์มีปริมาณสารไฮโพไกลซินเอเกิน 100 ppm จะถือว่าไม่เหมาะสำหรับการบริโภค และเข้าข่ายเป็นอาหาร ที่มีการปนเปื้อน เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์จากแอคกีมีความปลอดภัย FDA ได้กำหนดขั้นตอนควบคุมอย่างเข้มงวด โดยประเมินโรงงานผู้ผลิต ก่อนอนุญาตให้นำเข้า

ผู้ผลิตที่ผ่านการตรวจสอบจะถูกจัดใน Green List เพื่อยืนยันมาตรฐานการผลิต ส่วนในขั้นตอนเตรียมผลไม้ แอคกี ต้องปล่อยให้ผล แตกออกเองตามธรรมชาติ ภายใน 3–4 วันก่อนเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นช่วงที่ระดับไฮโพไกลซินเอ ลดลงเหลือน้อยที่สุด ช่วยให้เนื้อผลที่นำมาแปรรูปเป็นอาหาร ปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากขึ้น (3 พฤษภาคม 2024) [2]

หากได้รับไฮโพไกลซินเอ รักษาอย่างไร?

การรักษาผู้ที่ได้รับสารไฮโพไกลซินเอ จะเน้นการดูแล ประคับประคอง เนื่องจากยังไม่มียาต้านพิษเฉพาะ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ต้องได้รับสารน้ำ และกลูโคสทางหลอดเลือด โดยเริ่มให้กลูโคสแบบ bolus เพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือด จากนั้นให้ต่อเนื่องแบบ drip เพื่อคงระดับให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ พร้อมติดตามสมดุลเกลือแร่อย่างใกล้ชิด

หากมีอาการอาเจียนรุนแรง อาจให้ยาแก้อาเจียนร่วมด้วย เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำ และป้องกันภาวะช็อกจากการขาดสารน้ำ กรณีที่มีอาการชัก สามารถให้ยากลุ่ม Benzodiazepines โดยต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อนทุกครั้ง เพื่อแยกสาเหตุ หากผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล ภายในไม่กี่ชั่วโมง หลังรับประทานผลไม้ที่มีพิษ

อาจพิจารณาการล้างกระเพาะอาหารหรือให้ activated charcoal เพื่อลดการดูดซึมสารพิษ แม้ว่าประสิทธิภาพของวิธีนี้ อาจแตกต่างกัน ในแต่ละราย ผู้ที่มีอาการรุนแรง เช่นน้ำตาลในเลือดต่ำเรื้อรัง ชักซ้ำ หรือมีความผิดปกติของการเผาผลาญ ควรเข้ารับการดูแลใน ICU เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิด (28 กรกฎาคม 2023) [3]

สรุปแล้ว ผลไม้อะไรที่มีไฮโพไกลซินเอสูง

ผลไม้ที่มีสารไฮโพไกลซินเอสูงที่สุดคือ Ackee โดยเฉพาะในผลที่ยังไม่สุก รองลงมาคือลิ้นจี่ที่ยังไม่สุก มีในระดับปานกลาง ส่วนผลไม้อื่นอย่างลองกอง ลำไย และมะละกอดิบ มีในปริมาณต่ำมาก จนอันตรายน้อย การกินผลไม้เหล่านี้ ในช่วงที่ยังไม่สุก อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และอาเจียนรุนแรงได้

ใครที่ควรระวังไฮโพไกลซินเอเป็นพิเศษ?

กลุ่มที่ควรระวังเป็นพิเศษคือ เด็กเล็ก ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหาร ผู้ป่วยโรคตับ หรือผู้ที่อยู่ในภาวะอดอาหารเป็นเวลานาน เนื่องจากร่างกายของกลุ่มนี้ มีระดับกลูโคส และพลังงานสำรองต่ำอยู่แล้ว เมื่อได้รับสารไฮโพไกลซินเอเข้าไป จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อย่างเฉียบพลัน และอันตรายมากขึ้น

ป้องกันสารไฮโพไกลซินเออย่างไร?

วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงการกินผลไม้ที่ยังไม่สุก โดยเฉพาะ Ackee และลิ้นจี่ ควรเลือกผลที่สุกเต็มที่ตามธรรมชาติเท่านั้น สำหรับแอคกีควรปล่อยให้ผลแตกออกเองก่อนเก็บ และควรปรุงให้สุก ด้วยความร้อนก่อนกิน ส่วนลิ้นจี่หรือผลไม้อื่นในกลุ่มเดียวกันไม่ควรกินตอนท้องว่าง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง