รู้ไหม ผลไม้อะไรที่มี Hydrogen cyanide สูง

ผลไม้อะไรที่มี Hydrogen cyanide สูง

ผลไม้อะไรที่มี Hydrogen cyanide สูง อาจฟังดูเป็นคำถามที่ซีเรียส เพราะคำว่าไซยาไนด์ เรามักจะนึกถึงสารพิษที่อันตรายต่อร่างกาย แต่ในผลไม้บางชนิดที่เรากิน ก็อาจจะมีสารนี้ ในปริมาณทั้งมาก และน้อยแตกต่างกันไป บทความนี้ จะพาไปดูว่ามีผลไม้อะไรบ้าง ที่มีไฮโดรเจนไซยาไนด์ และมันอันตรายหรือไม่

  • ไฮโดรเจนไซยาไนด์คืออะไร?
  • อาการได้รับไฮโดรเจนไซยาไนด์
  • ผลไม้ที่มีไฮโดรเจนไซยาไนด์

สารพิษ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ คืออะไร?

ไฮโดรเจนไซยาไนด์ เป็นของเหลวใส ระเหยง่าย และไม่มีสี จุดเดือดประมาณ 26 °C และจุดเยือกแข็งประมาณ -14 °C เมื่อนำมาละลายน้ำ จะกลายเป็น prussic acid ซึ่งเป็นสารพิษที่ร้ายแรง เพราะจะไปรบกวนกระบวนการใช้ออกซิเจนของเซลล์ ทำให้เซลล์ไม่สามารถสร้างพลังงานได้ แม้จะมีอากาศอยู่รอบตัวก็ตาม

ด้านความเป็นพิษ หากอยู่ในอากาศ ที่ความเข้มข้นราว 50–60 ppm เป็นระยะหนึ่ง อาจเริ่มทำให้เกิดอาการได้ และที่ความเข้มข้นสูงกว่า 200–500 ppm เป็นเวลาสั้นๆ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงต้องระมัดระวัง การสัมผัส และมีมาตรการป้องกัน เมื่อทำงานกับสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ (9 กันยายน 2025) [1]

ประวัติ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ การค้นพบ

ไฮโดรเจนไซยาไนด์ถูกค้นพบครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1752 โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส Pierre Macquer ซึ่งสามารถแยกสารนี้ออกมา จากการสลายของสี Prussian blue ต่อมาในปี 1782 นักเคมีชื่อ Carl Wilhelm Scheele ก็ได้เตรียมสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อศึกษาคุณสมบัติของมันอย่างละเอียด

จนกระทั่งในปี 1787 Claude Louis Berthollet ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า prussic acid หรือไฮโดรเจนไซยาไนด์นั้น ไม่มีอะตอมออกซิเจนอยู่ในโครงสร้าง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญ ของการทำความเข้าใจ เคมีกรดในยุคนั้น

ต่อมาในปี 1811 Joseph Louis Gay-Lussac ได้ผลิตไฮโดรเจนไซยาไนด์ ในรูปของเหลวบริสุทธิ์ ขึ้นเป็นครั้งแรก และในปี 1815 เขาได้เสนอสูตรโมเลกุลที่ถูกต้องของสารนี้ ทำให้ไฮโดรเจนไซยาไนด์ กลายเป็นหนึ่งในสารเคมีสำคัญ ที่ช่วยปูทาง ให้กับการพัฒนาเคมีอินทรีย์ ในเวลาต่อมา (3 ตุลาคม 2025) [2]

อาการได้รับไฮโดรเจนไซยาไนด์

  • ช่วงแรก ภายในไม่กี่วินาที ถึงนาที ผู้ได้รับสารอาจรู้สึก เวียนหัว ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และมีอาการ อ่อนแรง มึนงง เพราะเซลล์ในร่างกาย เริ่มขาดออกซิเจน จากการที่ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ไปยับยั้งการทำงาน ของเอนไซม์ ที่ช่วยสร้างพลังงานให้เซลล์
  • ระยะกลาง ไม่กี่นาที หลังได้รับสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ จะมีอาการ หายใจเร็ว หายใจลำบาก ใจสั่น เหงื่อออกมาก ร่างกายพยายามชดเชย ด้วยการหายใจแรงขึ้น แต่เลือดกลับไม่สามารถนำออกซิเจนไปใช้ได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่ม สับสน กระสับกระส่าย หรือพูดไม่รู้เรื่อง
  • ระยะรุนแรง ภายในไม่กี่นาที ถึงสิบกว่านาที เมื่อสารเข้าสู่ร่างกายในระดับสูง เซลล์สมอง และหัวใจ จะหยุดทำงาน ทำให้เกิด อาการชัก หมดสติ ช็อก และหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันที อาจเสียชีวิตภายในไม่กี่นาที
  • การสัมผัสทางผิวหนัง หรือดวงตา หากไฮโดรเจนไซยาไนด์ อยู่ในรูปของเหลว แล้วสัมผัสโดยตรง อาจทำให้เกิด การระคายเคือง แสบร้อน หรือแสบตา แต่การดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทางผิวหนัง ก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อม ที่มีไอระเหยสูง

ที่มา: Medical Management Guidelines for Hydrogen Cyanide (21 ตุลาคม 2014) [3]

ผลไม้อะไรที่มีไฮโดรเจนไซยาไนด์?

ผลไม้อะไรที่มี Hydrogen cyanide สูง
  • เมล็ดแอปริคอต มีไฮโดรเจนไซยาไนด์ สูงที่สุด ประมาณ 150–480 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม โดยเฉพาะในพันธุ์แอปริคอตป่า หรือพันธุ์เมล็ดขม สารอะมิกดาลินภายใน จะสลายตัว กลายเป็นไฮโดรเจนไซยาไนด์ได้มาก จึงเป็นแหล่ง ที่มีพิษรุนแรงที่สุด ในกลุ่มผลไม้
  • Bitter almonds มีไฮโดรเจนไซยาไนด์ ประมาณ 100–250 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งสูงกว่าอัลมอนด์ ที่เรากินทั่วไปหลายเท่า Bitter almonds มีความขม ซึ่งความขมของเมล็ด บ่งบอกถึงปริมาณสารไซยาโนเจนิกที่มีมาก การกินอัลมอนด์ชนิดนี้แบบดิบ เพียงไม่กี่เมล็ด ก็อาจเป็นอันตรายได้
  • เมล็ดพีช พลัม และเชอร์รี มีไฮโดรเจนไซยาไนด์ อยู่ในระดับประมาณ 10 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม เมล็ดเหล่านี้มีทั้งอะมิกดาลิน และพรูนาซิน เมื่อเคี้ยว ถูกบดละเอียด หรือผ่าน การย่อยอาหาร จะปลดปล่อยก๊าซพิษออกมาเช่นเดียวกัน
  • เมล็ดแอปเปิล มีไฮโดรเจนไซยาไนด์ประมาณ 6–108 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมของเมล็ดแห้ง โดยปกติการกลืนเมล็ดแอปเปิลทั้งเมล็ด จะไม่เป็นอันตราย เพราะเปลือกเมล็ดแข็งไม่แตกออก แต่หากเคี้ยว หรือบดละเอียด ปริมาณพิษอาจเพิ่มขึ้นได้
  • เมล็ดลูกแพร์ มีไฮโดรเจนไซยาไนด์ ในระดับต่ำ ใกล้เคียงกับแอปเปิล แต่ยังคงอยู่ในกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง การบริโภคในปริมาณมาก

ไฮโดรเจนไซยาไนด์มีข้อดีอะไรไหม?

แม้ว่าไฮโดรเจนไซยาไนด์ เป็นสารพิษที่ร้ายแรงต่อร่างกาย แต่ในภาคอุตสาหกรรม กลับมีประโยชน์มาก เมื่อควบคุมอย่างเหมาะสม ปัจจุบันมีการผลิตทั่วโลกมากกว่า 1 ล้านตันต่อปี ใช้เป็นวัตถุดิบ ในการสร้างสารเคมีสำคัญเช่น Acrylonitrile สำหรับทำเส้นใย ยาง และพลาสติก

รวมถึงใช้ในกระบวนการชุบโลหะ การรมควันป้องกันแมลง และยังเป็นสารตั้งต้น ของการผลิตสารอินทรีย์ ที่ใช้ในยา และการเกษตร สำหรับในด้านวิทยาศาสตร์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ใน ยังมีบทบาทที่สำคัญ ต่อการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตยุคแรกเริ่ม

เพราะสามารถรวมตัวกับสารอื่น เพื่อสร้างโมเลกุลพื้นฐานอย่างกรดอะมิโน และนิวคลีโอไทด์ ได้ในระดับความเข้มข้นเพียง ไมโครโมลาร์ (10⁻⁶ โมลาร์) ซึ่งไม่เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต ทำให้ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ถูกมองว่าไม่ใช่แค่สารพิษเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางเคมี

การรักษาผู้ที่ได้รับไฮโดรเจนไซยาไนด์

การรักษาผู้ที่ได้รับ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ต้องทำอย่างเร่งด่วน เพราะสารนี้ออกฤทธิ์เร็ว และอาจทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 5–10 นาที ขั้นตอนแรกคือพาผู้ป่วย ออกจากบริเวณที่มีก๊าซ เปิดทางเดินหายใจ และให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ 100%

จากนั้นแพทย์จะให้ Hydroxocobalamin ขนาด 5 กรัมทางหลอดเลือดดำ เพื่อจับและขับไซยาไนด์ ออกจากร่างกาย หรือใช้โซเดียมไนไตรต์ 300 มิลลิกรัมร่วมกับ โซเดียมไธโอซัลเฟต 12.5 กรัมเพื่อเปลี่ยนสารพิษ ให้เป็นชนิดที่ปลอดภัย การรักษาทั้งหมด ต้องทำในโรงพยาบาล ภายใต้การดูแลใกล้ชิดของแพทย์

สรุปแล้ว ผลไม้อะไรที่มีไฮโดรเจนไซยาไนด์สูง

ผลไม้บางชนิด เช่นแอปริคอต อัลมอนด์ขม พีช พลัม เชอร์รี แอปเปิล และลูกแพร์ ซึ่งทั้งหมด มีสารในกลุ่มไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ ที่สามารถปล่อย ไฮโดรเจนไซยาไนด์ออกมาได้ เมื่อถูกบดหรือเคี้ยว แต่ไม่ได้หมายความว่าผลไม้เหล่านี้ เป็นอันตรายทั้งหมด การกินผลไม้ทั่วไปยังปลอดภัย หากหลีกเลี่ยงการกินเมล็ด

ไฮโดรเจนไซยาไนด์มีกลิ่นยังไง?

ไฮโดรเจนไซยาไนด์มีกลิ่นเฉพาะตัวคล้าย bitter almond กลิ่นฉุน โทนขม และคล้ายยาเบาๆ ซึ่งเป็นกลิ่นที่มาจากโครงสร้างทางเคมี ของสารในกลุ่มไซยาโน แต่ไม่ใช่ทุกคน ที่จะได้กลิ่นนี้ เพราะความสามารถ ในการรับรู้กลิ่นนี้ ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม โดยประมาณ 20–40% ของประชากรโลก ไม่สามารถรับกลิ่นนี้ได้เลย

ไฮโดรเจนไซยาไนด์เท่าไหร่ถึงอันตราย?

ไฮโดรเจนไซยาไนด์จะเริ่มเป็นอันตราย เมื่อมีความเข้มข้นในอาหารเกิน ประมาณ 0.5–3.5 มก./กก.น้ำหนักตัว หรือราว 50–200 มก. สำหรับผู้ใหญ่หนึ่งคน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการพิษเฉียบพลันได้ องค์การอนามัยโลก แนะนำให้ปริมาณไซยาไนด์ในอาหาร ไม่เกิน 10 มก./กก.อาหารแห้ง เพื่อความปลอดภัย

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง