
ควรระวังไว้ ผลไม้อะไรที่มี Coumarin สูง
- Fiona
- 18 views

ผลไม้อะไรที่มี Coumarin สูง อาจเป็นคำถามที่ไม่ค่อยได้ยินกันบ่อยนัก เพราะคูมาริน ไม่ใช่สารอาหารทั่วไป แต่เป็นสารธรรมชาติ ที่พืชสร้างขึ้นให้มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมักพบในพืชที่มีกลิ่นหอม รวมถึงผลไม้บางชนิดด้วย คูมารินมีขีดจำกัดในการบริโภค เนื่องจากหากได้รับมากเกินไป อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
- คูมารินคืออะไร?
- ผลไม้อะไรที่มี Coumarin สูง
- คูมารินอันตรายอย่างไร?
สารประกอบคูมารินคืออะไร?
คูมารินคือสารประกอบอินทรีย์ตามธรรมชาติในกลุ่ม benzo-α-pyrone ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ลักษณะคล้ายวานิลลา และหญ้าแห้ง พบได้ในพืชหลายชนิด ทั้งในใบ ลำต้น ราก และผล โดยเฉพาะพืช ที่มีกลิ่นหอมอย่างอบเชย วานิลลาหรือ Tonka bean ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของคูมารินตามธรรมชาติ
สารนี้มักถูกใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม และรสอาหารบางประเภท เพื่อเพิ่มความหอม และกลิ่นละมุน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย คูมารินจะถูกตับย่อยสลาย ด้วยเอนไซม์ในกลุ่มไซโตโครม P450 โดยเฉพาะชนิด CYP2A6 ให้กลายเป็นสารเมตาบอไลต์เช่น 7-ไฮดรอกซีคูมาริน ซึ่งจะถูกขับออกทางปัสสาวะ
การเผาผลาญของคูมารินนี้ แตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม และสภาพร่างกาย โดยทั่วไปคูมารินจากอาหารตามธรรมชาติ มีปริมาณน้อย และปลอดภัย แต่หากได้รับในรูปสารสกัดเข้มข้นมากเกินไป เกิดอันตรายต่อร่างกาย และส่งผลต่อตับได้ (18 พฤษภาคม 2020) [1]
ประวัติ คูมาริน การค้นพบครั้งแรก
คูมารินถูกค้นพบครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1820 โดยนักเคมีชาวเยอรมันชื่อ A. Vogel จากเมล็ด Tonka bean ซึ่งในตอนแรก เข้าใจว่าเป็นกรดเบนโซอิก แต่ในปีเดียวกัน Nicholas Jean Baptiste Gaston Guibourt นักเภสัชศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้แยกสารชนิดเดียวกัน ออกมาอีกครั้ง และพิสูจน์ได้ว่า นี่คือสารใหม่ที่ไม่ใช่กรดเบนโซอิก
เขาจึงตั้งชื่อให้ว่า coumarine และนำเสนอผลงาน ต่อสถาบันแพทย์หลวง ของฝรั่งเศส ต่อมาในปี ค.ศ. 1835 นักเคมี A. Guillemette ได้ยืนยันว่าการค้นพบของทั้งสองคน เป็นสารเดียวกันอย่างแน่นอน หลายสิบปีต่อมา คูมารินกลายเป็นสาร ที่ได้รับความสนใจ ในวงการเคมีอินทรีย์
และในปี ค.ศ. 1868 William Henry Perkin นักเคมีชาวอังกฤษ ได้สังเคราะห์คูมารินขึ้นได้เป็นครั้งแรก ในห้องปฏิบัติการ ถือเป็นก้าวสำคัญ ของเคมีสังเคราะห์ในยุคนั้น เพราะคูมาริน เป็นหนึ่งในสารอินทรีย์กลุ่มแรกๆ ที่มนุษย์สามารถสร้างขึ้น จากวัตถุดิบทั่วไปได้สำเร็จ กลายเป็นต้นแบบ ให้กับการพัฒนาน้ำหอมในอุตสาหกรรมต่อมา (5 สิงหาคม 2025) [2]
ผลไม้อะไรบ้างที่มีคูมารินสูง?

- ส้มโอ เปลือกและส่วนสีขาวของส้มโอ มีคูมารินค่อนข้างสูง โดยเฉพาะสายพันธุ์ ที่มีกลิ่นหอมจัด คูมารินช่วยสร้างกลิ่นหอมเฉพาะตัว ของผลไม้ชนิดนี้ แต่หากบริโภคมากเกินไป อาจรบกวนการทำงานของตับได้
- มะนาวและเลมอน ผลไม้ตระกูลส้มกลุ่มนี้ มีคูมารินในปริมาณปานกลาง โดยเฉพาะบริเวณผิวเปลือก ที่มีกลิ่นหอมเด่น สารนี้เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้มะนาว และเลมอน มีกลิ่นสดชื่น เป็นเอกลักษณ์
- ส้ม มีคูมาริน ในระดับต่ำกว่าส้มโอ และเลมอน แต่ยังคงเป็นแหล่งธรรมชาติ ที่มีกลิ่นหอม จากน้ำมันหอมระเหย และสารในกลุ่มฟีนอลิก รวมถึงคูมารินบางส่วนในผิวผล
- เชอร์รี โดยเฉพาะเชอร์รีป่า หรือเชอร์รีพันธุ์ที่มีรสขมเล็กน้อย จะมีคูมาริน ในปริมาณสูงกว่าเชอร์รีทั่วไป เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่ง ของกลไกป้องกันตัวของพืช
- แอปริคอต เป็นผลไม้ที่มี วิตามินเอ พบคูมารินในเมล็ด และเปลือกบางส่วนของผล โดยเฉพาะผล ที่ยังไม่สุกเต็มที่ แม้จะมีปริมาณไม่มากนัก แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในผลไม้ ที่มีสารนี้ตามธรรมชาติ
งานวิจัยคูมารินทางการแพทย์
คูมารินและอนุพันธ์ เป็นกลุ่มสารที่มีความสำคัญทางชีวภาพสูง โดยเฉพาะด้านต้านมะเร็ง และต้านจุลชีพ งานวิจัยในปี 2020 พบว่าอนุพันธ์บางชนิด สามารถยับยั้งเอนไซม์ ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเช่น aldo–keto reductase ได้ที่ระดับความเข้มข้นเพียง 25–56 นาโนโมลาร์ และ thioredoxin reductase ที่ค่า IC₅₀ ประมาณ 3.6 ไมโครโมลาร์
นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้เป็นโครงสร้างหลัก ในการออกแบบ ระบบปล่อยยาควบคุมแสง เพื่อให้ปลดปล่อยยาอย่างแม่นยำ เมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยแสง ในด้านต้านจุลชีพและไวรัส อนุพันธ์คูมารินที่เชื่อมกับวงอะโซล และโลหะคอมเพล็กซ์ เช่นรีเนียม แสดงฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ MRSA ในระดับนาโนโมลาร์
ส่วนด้านไวรัส มีการออกแบบคูมาริน ที่ยับยั้ง HIV-1 และไวรัสอีโบลา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีค่า IC₅₀ ต่ำสุดเพียง 0.5 ไมโครโมลาร์ ผลลัพธ์เหล่านี้ ชี้ว่าคูมาริน เป็นสารต้นแบบ ที่มีศักยภาพสูง ทั้งในฐานะตัวยา และวัสดุชีวภาพ สำหรับการพัฒนา เทคโนโลยีทางการแพทย์ในอนาคต (มกราคม 2021) [3]
คูมารินอันตรายอย่างไร?
- ทำลายตับ หากได้รับคูมารินในปริมาณสูง หรือติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เซลล์ตับเสียหาย ส่งผลให้เอนไซม์ตับสูงขึ้น และในบางกรณี อาจเกิดภาวะตับอักเสบ หรือดีซ่านได้
- มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด คูมารินบางชนิด เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ของยาต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น Warfarin หากได้รับมากเกินไป อาจทำให้เลือดออกง่าย หรือเกิดรอยช้ำโดยไม่รู้ตัว
- อาจก่อการระคายเคือง และอาการแพ้ เมื่อได้รับปริมาณเข้มข้น คูมารินอาจทำให้เกิดการแพ้สัมผัส หรือระคายเคืองผิวหนัง ในผู้ที่ไวต่อสารนี้
- เป็นพิษต่อระบบประสาท ในสัตว์ทดลองบางชนิด การศึกษาในสัตว์ พบว่าปริมาณคูมารินระดับสูง อาจกระทบ ต่อการทำงานของสมอง และระบบประสาทส่วนกลาง แม้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนในมนุษย์ แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
- เสี่ยงต่อหญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร คูมารินในระดับสูง อาจผ่านรก หรือปนในน้ำนมได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร หรือสมุนไพรที่มีคูมารินเข้มข้น ในช่วงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
ประโยชน์ของคูมารินคืออะไร?
- ต้านมะเร็ง คูมารินและอนุพันธ์บางชนิด มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง เช่นมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยทำงานผ่านการยับยั้งเอนไซม์ และลดการเกิดอนุมูลอิสระในเซลล์
- ต้านจุลชีพและเชื้อรา มีรายงานว่าคูมาริน สามารถยับยั้งการเจริญ ของแบคทีเรีย และเชื้อราได้หลายชนิด โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาเช่น Staphylococcus aureus และ Candida albicans
- ต้านไวรัส อนุพันธ์ของคูมารินบางชนิด มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ของไวรัสเช่น HIV-1 และไวรัสอีโบลา ช่วยลดการจำลองตัว ของไวรัสในระดับเซลล์
- ต้านการอักเสบ และอนุมูลอิสระ คูมารินมีคุณสมบัติ ลดการสร้างสารกระตุ้นการอักเสบ และช่วยปกป้องเซลล์ จากความเสียหาย ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
- ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด สารในกลุ่มคูมารินบางชนิด มีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองและเลือด จึงถูกนำมาใช้ในยาลดบวม หรือภาวะเส้นเลือดดำอุดตันบางประเภท
- ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม และอาหาร ด้วยกลิ่นหอมคล้ายวานิลลา คูมารินถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำหอม เครื่องสำอาง และกลิ่นแต่งอาหาร ในปริมาณที่ปลอดภัย
สรุปแล้ว ผลไม้ที่อะไรที่มีคูมารินสูง
ผลไม้ที่มีคูมารินสูง เช่นส้มโอ มะนาว เลมอน ส้ม เชอร์รี และแอปริคอต ล้วนเป็นแหล่งธรรมชาติ ของสารหอมที่ให้กลิ่นละมุน คูมารินแม้จะมีประโยชน์หลายด้าน ทั้งในเชิงชีวภาพ และอุตสาหกรรม แต่ก็เป็นสารที่ควรบริโภค อย่างระมัดระวัง เพราะหากได้รับในปริมาณมาก หรือต่อเนื่อง อาจมีผลต่อตับหรือระบบเลือดได้
ได้รับคูมารินเท่าไหร่ถึงอันตราย?
องค์การ EFSA กำหนดค่าปริมาณคูมารินที่ได้ต่อวันไว้ที่ 0.1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน เช่น ผู้ใหญ่ที่น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ไม่ควรได้รับเกินประมาณ 6 มิลลิกรัมต่อวัน หากบริโภคอาหาร ที่มีคูมารินสูงเป็นประจำ อาจเกินค่าที่กำหนดโดยไม่รู้ตัว หากได้รับคูมารินต่อเนื่อง ในระดับสูงเป็นเวลานาน สามารถทำให้เอนไซม์ตับผิดปกติได้
ใครที่ควรระวังสารคูมารินเป็นพิเศษ?
ผู้ที่ควรระวังการได้รับคูมารินเป็นพิเศษ ได้แก่ผู้ที่มีโรคตับ หรือมีเอนไซม์ตับผิดปกติ หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวหลายชนิด เนื่องจากคูมารินอาจเพิ่มภาระการทำงานของตับ และมีผลต่อระบบการแข็งตัวของเลือด
- Tags: สุขภาพ


