ควรรู้ไว้ ผลไม้อะไรที่มี Chaconine สูง

ผลไม้อะไรที่มี Chaconine สูง

ผลไม้อะไรที่มี Chaconine สูง อาจเป็นคำถามที่หลายคนแทบไม่เคยนึกถึง เพราะคาโคนีน ไม่ใช่ชื่อสารอาหาร หรือวิตามินทั่วไป ที่เราพบทั่วๆไป ในฉลากโภชนาการ แต่เป็นสารประกอบธรรมชาติ ที่พืชบางชนิดสร้างขึ้นแต่เป็นพิษกับมนุษย์ การหยิบคำถามนี้มาพูดถึง เป็นการเปิดมุมมอง ให้เราเข้าใจถึงสารนี้ เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค

  • ทำไมพืชถึงสร้างคาโคนีน
  • อาการเมื่อได้รับคาโคนีน
  • ผลไม้ที่มีคาโคนีนสูง

ทำไมพืชถึงสร้างคาโคนีนขึ้นมา?

ผลไม้อะไรที่มี Chaconine สูง

พืชบางชนิด อย่างเช่นมันฝรั่ง สร้างสารคาโคนีนขึ้นมา เพื่อใช้เป็นกลไก ป้องกันตัวเอง ตามธรรมชาติ สารนี้อยู่ในกลุ่มไกลโคอัลคาลอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติ ช่วยต้านแมลง เชื้อรา และสัตว์กินพืช ที่อาจเข้าทำลาย โดยพืชจะสร้างสารเหล่านี้มากขึ้น เมื่อได้รับความเครียด เช่นถูกแสงแดด ความเสียหายทางกายภาพ

หรือการเจริญเติบโต ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม จึงถือเป็นระบบป้องกัน ทางชีวภาพ ที่ช่วยให้พืชอยู่รอดได้ โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีจากภายนอก ปกติในมันฝรั่ง คาโคนีนจะสะสมอยู่มาก ที่บริเวณผิว เปลือก ตา และส่วนที่โดนแสง ซึ่งเป็นจุดที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากแมลง และเชื้อรา

หากหัวมันฝรั่งโดนแสงนาน จนเปลี่ยนเป็นสีเขียว พืชจะยิ่งสร้างคาโคนีนเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันตัว แต่สำหรับคน การบริโภคในปริมาณมาก อาจเป็นอันตรายได้ จึงควรหลีกเลี่ยง การกินมันฝรั่ง ที่มีผิวเขียว หรือเริ่มงอก เพราะเป็นสัญญาณว่า ปริมาณคาโคนีนในเนื้อ อาจเพิ่มสูงกว่าระดับปลอดภัยแล้ว (ตุลาคม 2023) [1]

ประวัติ คาโคนีน การค้นพบครั้งแรก

คาโคนีนเป็นสารธรรมชาติ ในกลุ่มไกลโคอัลคาลอยด์ ที่พบในพืชตระกูล Solanum โดยเฉพาะในมันฝรั่ง ซึ่งพืชสร้างขึ้น เพื่อป้องกันตัวเองจากแมลง และเชื้อรา การศึกษาสารนี้ เริ่มต้นขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 เมื่อมีการค้นพบ ว่ามันเป็นหนึ่งในสารหลัก ที่ทำให้มันฝรั่ง มีฤทธิ์เป็นพิษ หากบริโภคในปริมาณมาก

ช่วงทศวรรษ 1980 นักวิทยาศาสตร์ เริ่มวิเคราะห์ปริมาณของคาโคนีน และสารคู่กัน อย่างโซลานีน ในผลิตภัณฑ์จากมันฝรั่ง เพื่อทำความเข้าใจ ความคงตัวของมัน ในระหว่างการปรุงอาหาร และการเก็บรักษา ต่อมาในปี ค.ศ. 2004 งานวิจัยได้ติดตามการเปลี่ยนแปลง ของคาโคนีนในมันฝรั่ง ที่เก็บไว้ในสภาวะต่างๆ

พบว่าหากเก็บไว้ในที่มืด และเย็น ปริมาณของสารนี้ แทบไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นในปี ค.ศ. 2014 นักวิจัยชาวญี่ปุ่น ได้ค้นพบยีน ของเอนไซม์ ที่เกี่ยวข้อง กับการสร้างสารไกลโคอัลคาลอยด์ ในมันฝรั่ง ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ช่วยให้เข้าใจกลไก ทางชีวเคมี ของคาโคนีนมากขึ้น นำไปสู่การควบคุมสารพิษในพืช (15 กรกฎาคม 2025) [2]

จะมีอาการอย่างไร เมื่อได้รับคาโคนีน?

  • ปวดท้อง และคลื่นไส้ เป็นอาการแรกๆ ที่มักเกิดขึ้น เนื่องจากคาโคนีน ทำให้เยื่อบุในกระเพาะอาหารระคายเคือง รบกวน การย่อยอาหาร รู้สึกจุกแน่น หรือคลื่นไส้อย่างต่อเนื่อง
  • อาเจียน ร่างกายจะพยายามขับสารพิษออก ทำให้เกิดอาการอาเจียนตามมา ซึ่งอาจเกิดร่วมกับอาการเวียนหัว หรืออ่อนแรง
  • ท้องเสีย หรือปวดบิดในท้อง คาโคนีนรบกวนการทำงานของลำไส้ ทำให้เกิดการบีบตัวผิดปกติ บางรายอาจมีอาการปวดบิด หรือถ่ายเหลวร่วมด้วย
  • ปวดหัว และมึนงง เมื่อสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด อาจส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้รู้สึกปวดหัว หนักศีรษะ หรือมึนงง
  • หน้าแดง หรือรู้สึกร้อนวูบวาบ เกิดจากการขยายของหลอดเลือด ซึ่งเป็นผลข้างเคียง จากการกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต
  • สับสน หากได้รับมาก อาจมีอาการทางระบบประสาท เช่นสับสน สมาธิสั้นลง หรือพูดไม่รู้เรื่องชั่วคราว
  • มีไข้ หรืออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ในบางราย ร่างกายตอบสนอง ต่อสารพิษ ด้วยการเพิ่มอุณหภูมิ ซึ่งอาจมาพร้อมอาการอ่อนเพลีย

ที่มา: Are green potatoes safe to eat? (29 มกราคม 2024) [3]

ผลไม้อะไรบ้างที่มีคาโคนีนสูง?

  • มะเขือเทศดิบสีเขียว ผลมะเขือเทศที่ยังไม่สุกเต็ม ที่เป็นแหล่งคาโคนีน อันดับต้นๆ โดยเฉพาะช่วงที่ผลยังแข็ง และมีสีเขียวเข้ม สารนี้จะค่อยๆลดลง เมื่อผลสุก และเปลี่ยนเป็นสีแดง ดังนั้นการกินมะเขือเทศที่สุกเต็ม ที่จะปลอดภัยกว่ามาก
  • Turkey Berry ที่มักใช้ทำอาหารพื้นบ้าน เช่นแกงป่า หรือใช้เป็นสมุนไพร มีคาโคนีน และโซลานีนร่วมกัน ในระดับปานกลาง หากบริโภคในปริมาณพอเหมาะ มักไม่เป็นอันตราย แต่การกินดิบจำนวนมาก อาจทำให้ระคายเคืองในปาก หรือท้องได้
  • มะเขือเปราะ เรามักจะคุ้นว่าเป็นผัก แต่จริงๆแล้ว จัดอยู่ในกลุ่มผลไม้ ในเชิงพฤกษศาสตร์ มะเขือเปราะมีคาโคนีน ในระดับต่ำกว่ามะเขือเทศดิบ แต่ยังพบอยู่บ้าง โดยเฉพาะผลที่ยังอ่อน หรือเก็บไว้นาน การปรุงให้สุก ช่วยลดปริมาณสารนี้ได้

ได้รับคาโคนีนเท่าไหร่ถึงเป็นอันตราย?

ปริมาณไกลโคอัลคาลอยด์รวม ซึ่งรวมคาโคนีน และโซลานีน ประมาณ 1 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม อาจเริ่มก่อให้เกิดอาการ เช่นคลื่นไส้ หรือปวดท้อง และเมื่อได้รับในช่วง 2–5 มิลลิกรัม จะเริ่มเข้าสู่ระดับ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งหากสูงถึง 3–6 มิลลิกรัม อาจก่อให้เกิดอันตรายรุนแรง หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้

เมื่อได้รับคาโคนีน รักษาอย่างไร?

หากได้รับคาโคนีนจนเกิดอาการ เช่นคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือมึนงง ควร หยุดรับประทาน อาหารที่สงสัยทันที และรีบ ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับสารพิษออกทางปัสสาวะ หากอาการไม่ดีขึ้น ภายในไม่กี่ชั่วโมง หรือมีอาการรุนแรง เช่นอาเจียนไม่หยุด หายใจลำบาก หัวใจเต้นผิดจังหวะ ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที

การรักษาส่วนใหญ่ เป็นการดูแลตามอาการ เช่นให้สารน้ำทางหลอดเลือด ปรับสมดุลเกลือแร่ และในบางกรณี แพทย์อาจใช้ถ่านกัมมันต์หรือ activated charcoal เพื่อช่วยดูดซับสารพิษ ในทางเดินอาหาร ในระยะแรก

สรุปแล้ว ผลไม้อะไรที่มีคาโคนีนสูง

คาโคนีนเป็นสารธรรมชาติ ที่พืชสร้างขึ้น เพื่อป้องกันตัวจากแมลง และเชื้อรา แต่สำหรับมนุษย์ หากได้รับมากเกินไป ก็อาจเป็นพิษได้เช่นกัน ผลไม้ที่มีคาโคนีนสูง ได้แก่มะเขือเทศดิบสีเขียว Turkey Berry และมะเขือเปราะ ซึ่งล้วนเป็นพืชในสกุล Solanum การรับประทานผลที่ยังไม่สุก อาจทำให้เกิดอันตรายได้

ทำยังไงให้ลดสารคาโคนีนลง?

การลดปริมาณคาโคนีนในอาหาร ทำได้โดยการจัดเก็บ และปรุงอย่างถูกวิธี เพราะคาโคนีน เป็นสารที่พืชสร้างขึ้น เมื่อถูกแสง ควรเก็บไว้ในที่เย็น และมืด แม้ว่าสารคาโคนีน จะทนความร้อน ได้พอสมควร แต่สามารถลดลงได้ ด้วยการต้ม หรือทอด ความร้อนสูงกว่า 170 °C ซึ่งช่วยลดปริมาณลงได้ ประมาณ 30–60%

ใครที่ควรระวังคาโคนีนเป็นพิเศษ?

ผู้ที่มีระบบย่อยอาหาร หรือระบบประสาทไวต่อสารพิษ เช่นเด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคตับ หรือไตเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารคาโคนีนสูง เพราะร่างกายของคนกลุ่มนี้ อาจขับสารพิษได้ช้ากว่าคนทั่วไป ทำให้เสี่ยงต่ออาการพิษรุนแรงมากกว่า

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง