
ผลไม้อะไรที่มี Anthocyanins สูง เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพ แอนโทไซยานินคือสารสีธรรมชาติ ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ที่ทำให้ผลไม้มีสีม่วง แดง และน้ำเงินเข้ม มีคุณสมบัติเด่น ในการเสริมสุขภาพหัวใจ บำรุงสมอง และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิด
สารแอนโทไซยานิน คือกลุ่มเม็ดสีธรรมชาติ ในผักผลไม้ที่ให้สีแดง ม่วง และน้ำเงิน โดยอยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ สารพฤกษเคมีประเภทหนึ่ง ที่พบได้ทั่วไป ในต้นไม้ ต้นพืช ดอกไม้ ผล และเมล็ด
แอนโทไซยานินเป็นสารละลายน้ำ ที่พบใน Vacuole ของเซลล์พืช ซึ่งช่วยดึงดูดแมลง หรือสัตว์มาช่วยผสมเกสรและช่วยปกป้องพืช จากรังสี UV ความหนาวเย็น หรือความแห้งแล้ง
ในมนุษย์ แอนโทไซยานินได้รับความสนใจ ในฐานะสารต้านอนุมูลอิสระ แม้ผลงานวิจัยยังไม่ชัดเจนทั้งหมด แต่มีหลักฐานว่าแอนโทไซยานิน อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ บรรเทาการอักเสบ สนับสนุนการทำงานของสมอง และอาจช่วยชะลอความเสื่อมทางระบบประสาทได้ (2 มิถุนายน 2022) [1]
ในช่วงปี 1835 นักเภสัชกรรมชาวเยอรมัน Ludwig Clamor Marquart ได้ตั้งชื่อสารเคมีที่ทำให้ดอกไม้มีสีฟ้าว่า Anthokyan ในตำราของเขาเรื่อง Die Farben der Blüthen ซึ่งถือเป็นการใช้คำว่า Anthocyanin ครั้งแรก
ต่อมาในปี 1948 นักวิจัย Bate‑Smith นำเทคนิคการแบ่งแยกทางเคมีชนิดหนึ่งคือ paper chromatography มาใช้ในการระบุแอนโทไซยานินเป็นครั้งแรก จากนั้นช่วงปี 1958–1967 นักวิจัย Harborne และทีมงานได้พัฒนาวิธีแยก และระบุโครงสร้าง ของแอนโทไซยานินจากพืช ซึ่งก่อนหน้านั้น หลากหลายชนิดถูกผสมกัน
ยุคต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในช่วงปี 1916 Muriel Wheldale Onslow ได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง The Anthocyanin Pigments of Plants ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรก ที่ว่าด้วยสารสีนี้ และต่อมาฉบับปรับปรุงในปี 1925 ซึ่งเธอเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาเคมี ของแอนโทไซยานิน (24 สิงหาคม 2025) [2]
ที่มา: What Is Anthocyanin? (6 ตุลาคม 2023) [3]
ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนด ปริมาณแอนโทไซยานิน ที่ควรได้รับต่อวันอย่างเป็นทางการ แต่มีการศึกษา และคำแนะนำบางส่วนเช่น FAO/WHO กำหนด Acceptable Daily Intake (ADI) สำหรับแอนโทไซยานินจากผิวองุ่นที่ 2.5 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก./วัน ขณะที่ EFSA ระบุว่ายังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะตั้งค่าเกณฑ์ทั่วไปได้
ในเชิงปฏิบัติ หลักฐานจากงานวิจัย และคำแนะนำด้านสุขภาพบางประเทศ เช่นจีน แนะนำให้บริโภค วันละ ประมาณ 50 มก. เพื่อช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง และความเครียดออกซิเดชัน งานวิจัยอื่นๆ ยังพบว่าการได้รับ 20–50 มก./วัน อาจเพียงพอในการส่งผลดีต่อหัวใจ สมอง และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด
ผลไม้ที่มีแอนโทไซยานินสูง ได้แก่ บลูเบอร์รี แบล็กเบอร์รี เชอร์รี องุ่นม่วง ราสป์เบอร์รีดำ พลัม และสตรอว์เบอร์รี การรับประทานผลไม้เหล่านี้ อย่างสม่ำเสมอ และสลับให้หลากหลาย จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระที่เพียงพอ ดีต่อสุขภาพหัวใจ สมอง และดวงตา
แอนโทไซยานิน ควรกินคู่กับอาหารที่มีไขมันดีเล็กน้อย เพราะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น และยังควรทานร่วมกับผักผลไม้หลากสี เช่นวิตามินซีจากส้ม สตรอว์เบอร์รี หรือกีวี ที่ช่วยเสริมฤทธิ์ในการปกป้องเซลล์ และเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานของแอนโทไซยานินให้ดียิ่งขึ้น
แอนโทไซยานินไม่ควรทานพร้อมกับแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรืออาหารแปรรูปที่มีน้ำตาลสูง เพราะสารเหล่านี้ จะไปเพิ่มการอักเสบ และลดคุณสมบัติ การต้านอนุมูลอิสระ ของแอนโทไซยานิน และไม่ควรใช้แอนโทไซยานิน ในรูปแบบอาหารเสริมเข้มข้นเกินไป เพราะอาจทำให้ตับทำงานหนัก