รวมให้แล้ว ธัญพืชอะไรที่มี Vitamin E

ธัญพืชอะไรที่มี Vitamin E

ธัญพืชอะไรที่มี Vitamin E เป็นคำถามที่หลายคนอาจยังไม่เคยนึกถึงมาก เพราะเมื่อพูดถึงวิตามินอีแล้ว เรามักจะนึกถึงน้ำมันพืช ถั่วต่างๆ หรือผักใบเขียวเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ธัญพืชก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งอาหารสำคัญ ที่อุดมไปด้วยวิตามินอีเช่นกัน ซึ่งวิตามินอีมีคุณสมบัติเด่น ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

  • วิตามินอีคืออะไร
  • ประโยชน์ของวิตามินอี
  • ธัญพืชที่มีวิตามินอีสูง

วิตามินอีคืออะไร มีกี่ชนิดบ้าง?

วิตามินอีเป็นสารอาหารที่ละลายในไขมัน ทำหน้าที่สำคัญ ในการช่วยปกป้องเซลล์ จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ จึงถือว่าเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกาย แหล่งอาหารที่พบมาก ได้แก่ น้ำมันพืช ถั่ว เมล็ดพืช และผักใบเขียว

วิตามินอีในธรรมชาติมีทั้งหมด 8 ชนิด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่ม Tocopherols และกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มประกอบด้วย 4 ชนิดย่อย ได้แก่ Alpha-tocopherol, Beta-tocopherol, Gamma-tocopherol, Delta-tocopherol และ Alpha-tocotrienol, Beta-tocotrienol, Gamma-tocotrienol, Delta-tocotrienol

แม้ว่าวิตามินอีจะมีหลากหลายชนิด แต่ในทางโภชนาการ Alpha-tocopherol เป็นเพียงชนิดเดียวที่ตอบสนองความต้องการของร่างกายได้ ตับจะทำหน้าที่เลือกเก็บ และขนส่งเฉพาะอัลฟาโทโคฟีรอล เข้าสู่กระแสเลือดผ่านโปรตีนพิเศษที่เรียกว่า alpha-tocopherol transfer protein (26 มีนาคม 2021) [1]

ประวัติ วิตามินอี การถูกค้นพบครั้งแรก

วิตามินอี ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1922 โดย Herbert McLean Evans และ Katharine Scott Bishop จากการทดลองในหนูที่ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ จนกระทั่งได้รับสารจากน้ำมันจมูกข้าวสาลี และผักสด ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า Tocopherol

ต่อมาในปี 1935 มีการสกัดวิตามินอีได้อย่างบริสุทธิ์ และในปี 1938 Erhard Fernholz ระบุโครงสร้างทางเคมีของ α-tocopherol พร้อมกับการสังเคราะห์ครั้งแรกโดย Paul Karrer

จากนั้นมีการค้นพบชนิดอื่นๆ เช่น Beta-tocopherol, Gamma-tocopherol และในปี 1947 Delta-tocopherol ซึ่งยืนยันว่าวิตามินอีมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกัน ในด้านคุณสมบัติทางชีวภาพ (17 สิงหาคม 2025) [2]

ประโยชน์วิตามินอีต่อร่างกายคืออะไร?

  • วิตามินอีช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน เช่นปวดท้อง ประจำเดือนมามาก อารมณ์แปรปรวน เหนื่อยง่าย หรือกระสับกระส่าย ถ้ากินล่วงหน้า ก่อนมีประจำเดือน 2 วันต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเริ่มมีประจำเดือน อาการเหล่านี้มักจะดีขึ้น
  • ช่วยลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ หลังออกกำลังกายหนักๆ ทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • มีประโยชน์กับคนที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตกง่าย จากพันธุกรรม เพราะช่วยลดความเสียหาย ของเม็ดเลือด โดยบางครั้งใช้ร่วมกับซีลีเนียม
  • สำหรับทารกคลอดก่อนกำหนด การให้วิตามินอีในปริมาณที่เหมาะสม สามารถช่วยลดความเสี่ยง การเกิดเลือดออกในสมองได้ แต่ต้องระวังไม่ใช้เกินขนาด เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ
  • คนที่ใช้ยากลุ่มไนเตรต เพื่อรักษาอาการเจ็บหน้าอก หากเสริมวิตามินอีเป็นประจำ จะช่วยลดภาวะดื้อยาหรือทนต่อยา ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพต่อเนื่อง
  • ผู้ที่มีภาวะตับอักเสบจากไขมัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ วิตามินอีอาจช่วยลดการอักเสบของตับ และทำให้ค่าการทำงานของตับดีขึ้น

ที่มา: Vitamin E (9 ตุลาคม 2024) [3]

ธัญพืชอะไรที่มีวิตามินอีสูงต่อ 100 ก.

ธัญพืชอะไรที่มี Vitamin E
  • จมูกข้าวสาลี (Wheat germ) มีวิตามินอีสูงมาก ประมาณ 15–20 มก. สามารถใส่ในใส่ซีเรียล โยเกิร์ต หรือผสมแป้งขนมปังได้
  • รำข้าวสาลี (Wheat bran) มีวิตามินอีสูงราว 5–10 มก. และมีใยอาหารสูง
  • รำข้าว รำข้าวกล้อง (Rice bran/Bran-stabilized) มีวิตามินอี 4–8 มก. มีโทโคไตรอีนอลสูง
  • ข้าวโอ๊ต (Oats): มีวิตามินอี 1–2 mg. ทำกราโนลา Overnight Oats
  • ไรย์โฮลเกรน (Rye) มีวิตามินอีประมาณ 1–1.5 mg.. เหมาะกับขนมปังไรย์แบบ Sourdough
  • บาร์เลย์ทั้งเมล็ด (Hulled barley) มีวิตามินอีประมาณ 0.5–1 mg. ใส่ซุป Grain Bowl สลัด
  • ควินัว (Quinoa) มีวิตามินอีราว 1–2 มิลลิกรัม ใช้เสิร์ฟแทนข้าวได้
  • เมล็ดผักโขม (Amaranth) และเทฟฟ์ (Teff) มีวิตามินอีประมาณ 0.5–1.5 มิลลิกรัม ธัญพืชเมล็ดเล็ก มีใยอาหารสูง

วิตามินอีควรได้รับต่อวันเท่าไหร่?

ปริมาณวิตามินอีที่ควรได้รับต่อวัน จะแตกต่างกันไป ตามวัยและเพศ โดยทารกแรกเกิดถึง 6 เดือน ควรได้รับประมาณ 4 มิลลิกรัม และเพิ่มเป็น 5 มิลลิกรัมเมื่ออายุ 7–12 เดือน สำหรับเด็กวัย 1–3 ปี ปริมาณที่เหมาะสมคือ 6 มิลลิกรัม และเพิ่มเป็น 7 มิลลิกรัมในเด็กอายุ 4–8 ปี

เมื่อเข้าสู่วัย 9–13 ปี ร่างกายต้องการมากขึ้นเป็น 11 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนวัยรุ่นตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ใหญ่ทั้งชาย และหญิง ควรได้รับ 15 มิลลิกรัมต่อวัน

ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำยังคงอยู่ที่ 15 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้าอยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรเพิ่มเป็น 19 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อรองรับความต้องการของร่างกาย และทารก ขีดจำกัดการรับสูงสุด สำหรับผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินอีกินคู่กับอะไรดี?

วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ดังนั้นการกินควบคู่กับ อาหารที่มีไขมันดี จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น เช่นน้ำมันมะกอก ปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 การทานร่วมกับผัก และผลไม้ ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ อย่างวิตามินซี และเบต้าแคโรทีน ยังช่วยเสริมฤทธิ์การป้องกันความเสียหายของเซลล์

อีกทั้งการทานคู่กับอาหารที่มีสังกะสี และซีลีเนียม ก็ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และการต้านอนุมูลอิสระได้เช่นกัน ทำให้การได้รับวิตามินอีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งด้านการดูดซึม และการทำงานร่วมกับสารอาหารอื่นๆ

ธัญพืชอะไรที่มีวิตามินอี กล่าวโดยสรุป

วิตามินอีเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ในธรรมชาติมี 8 ชนิด แต่ร่างกายใช้ อัลฟาโทโคฟีรอลเป็นหลัก ธัญพืชที่พบมากคือ จมูกข้าวสาลี รำข้าว ข้าวโอ๊ต ควินัว และไรย์ การเลือกทานธัญพืชเหล่านี้เป็นประจำ ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินอี ควบคู่กับใยอาหาร และสารอาหารอื่นๆ

ใครเสี่ยงได้วิตามินอีไม่พอ?

กลุ่มที่มีความเสี่ยง ต่อการได้รับวิตามินอีไม่เพียงพอ มักเป็นผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมไขมัน เช่นผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง โรคตับอ่อนเรื้อรัง หรือโรคทางพันธุกรรมบางชนิด ที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมไขมัน รวมถึงผู้ที่มีภาวะท่อน้ำดีอุดตัน นอกจากนี้ ทารกคลอดก่อนกำหนด ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 1,500 กรัมก็เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง

ได้รับวิตามินอีมากเกินจะเป็นยังไง?

การได้รับวิตามินอีมากเกินไป โดยเฉพาะจากอาหารเสริม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เนื่องจากวิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ร่างกายจะสะสมไว้ได้ หากเกินขนาด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการ เลือดออกง่าย และเลือดออกภายใน เพราะวิตามินอีไปยับยั้งการแข็งตัวของเลือด

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง