การ ดีท็อกซ์ ควรทำหรือไม่ จำเป็นแค่ไหน?

ดีท็อกซ์ ควรทำหรือไม่

ดีท็อกซ์ ควรทำหรือไม่ ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การดีท็อกซ์กลายเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจ ไม่ว่าจะในรูปแบบการล้างพิษ ด้วยน้ำผักผลไม้ การกินอาหารคลีน หรือแม้แต่การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คำถามสำคัญคือ ร่างกายเราจำเป็นต้องดีท็อกซ์หรือไม่ แล้วควรทำอย่างไรจึงจะได้ผลจริง และปลอดภัย

  • การดีท็อกซ์มีกี่ประเภท?
  • งานวิจัยเกี่ยวกับการดีท็อกซ์
  • วิธีดีท็อกซ์แบบปลอดภัย

ระบบดีท็อกซ์ธรรมชาติในร่างกาย

ดีท็อกซ์ ควรทำหรือไม่ แท้จริงแล้ว ร่างกายมนุษย์ มีระบบล้างสารพิษของตัวเองอยู่แล้ว โดยอาศัยการทำงาน ร่วมกันของตับ ไต ปอด ลำไส้ และผิวหนัง ตับทำหน้าที่กรอง และเปลี่ยนสารพิษ ให้อยู่ในรูปที่สามารถขับออกได้ ทางปัสสาวะ หรืออุจจาระ

ไตช่วยกรองของเสียจากเลือด ปอดช่วยกำจัดก๊าซเสีย จากการหายใจ ผิวหนังขับของเสียบางส่วน ออกทางเหงื่อ และลำไส้ช่วยขับกากอาหาร หากระบบเหล่านี้ทำงานได้ดี ก็แทบไม่จำเป็นต้องดีท็อกซ์เพิ่มเติม

การดีท็อกซ์ยอดนิยมมีกี่ประเภท?

  • ดีท็อกซ์จากแอลกอฮอล์ เป็นกระบวนการล้างสารแอลกอฮอล์ ออกจากร่างกายอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์ ในปริมาณมาก หรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะการหยุดดื่มทันที อาจทำให้เกิดอาการถอน เช่นตัวสั่น ประสาทหลอน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์
  • ดีท็อกซ์จากยา ใช้กับผู้ที่มีการใช้สารเสพติด หรือยาบางประเภท เป็นเวลานาน การหยุดยาอย่างฉับพลัน อาจทำให้เกิดอาการถอนอย่างรุนแรง จึงต้องมีขั้นตอนลดระดับยา หรือการควบคุมอาการ ด้วยยาช่วยประคับประคอง เช่นเมทาโดน สำหรับผู้ติดเฮโรอีน
  • ดีท็อกซ์ทาง Metabolic เป็นกระบวนการล้างสารพิษ ที่เกิดขึ้นเองในร่างกาย โดยอาศัยการทำงานของเอนไซม์ในตับเช่น CYP450, UDP-glucuronosyltransferases และ GST ซึ่งจะเปลี่ยนสารพิษ ให้ละลายน้ำ และขับออกทางปัสสาวะ หรืออุจจาระ กระบวนการนี้เกิดขึ้นทุกวัน
  • ดีท็อกซ์แนวทางทางเลือก ได้รับความนิยม ในหมู่คนรักสุขภาพ เช่นการดื่มน้ำผักผลไม้ การล้างลำไส้ ด้วยการสวนทวารหรือสมุนไพร การถือศีลอดอาหาร หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อขจัดสารพิษ แนวทางเหล่านี้ อาจให้ความรู้สึก เบาสบายในระยะสั้น

ที่มา: Detox Cleanses: The Most Popular Types and What to Know [1]

ความเข้าใจผิดกับการดีท็อกซ์

  • การถ่ายลำไส้ หมายถึงการเผาผลาญไขมัน แม้ว่าหลังจากการสวนล้างลำไส้ หรือใช้ยาระบายเราจะรู้สึกตัวเบา นั่นเป็นเพียงผล จากการขับอุจจาระ และน้ำออกเท่านั้น แต่ร่างกายไม่ได้เผาผลาญไขมันส่วนเกิน การทำลายของตับ หรือไขมันสะสมในร่างกาย ยังไม่เกิดขึ้นจริง จากการกระทำดังกล่าว
  • เครื่องดื่มหรืออาหารเสริมดีท็อกซ์ ช่วยขจัดสารพิษได้ แม้จะมีโฆษณาว่า สามารถล้างสารพิษได้ แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่าเป็นจริง อาหารหรือเครื่องดื่มเหล่านี้ ไม่สามารถขับพิษ ออกจากร่างกายได้ และอาจมีความเสี่ยง หากส่วนผสมไม่ปลอดภัย หรือไม่ได้รับการรับรอง
  • น้ำหมักผักผลไม้ ช่วยล้างสารพิษอย่างได้ผล การหมักผักผลไม้ ที่ไม่ได้ล้างให้สะอาด หรือกระบวนการหมักไม่ถูกสุขลักษณะ อาจก่อให้เกิดการปนเปื้อน ของแบคทีเรียหรือเชื้อโรค ซึ่งอาจทำให้ท้องเสีย หรือเกิดผลเสีย ต่อระบบทางเดินอาหาร ในระยะยาว
  • การใช้ยาระบาย คือการดีท็อกซ์แบบได้ผล ยาระบายช่วยให้อุจจาระนิ่ม และขับถ่ายได้ง่าย แต่มันไม่ใช่วิธีการขจัดสารพิษภายในลำไส้ หรือร่างกาย การใช้ยาบ่อยหรือ ไม่เหมาะสม อาจส่งผลเสีย ต่อสุขภาพลำไส้ และระบบย่อยอาหารได้
  • ใครก็สามารถดีท็อกซ์ลำไส้เองที่บ้าน อย่างปลอดภัยได้ การซื้ออุปกรณ์มาสวนล้างลำไส้เองที่บ้าน อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือความผิดพลาดทางเทคนิค ซึ่งอาจนำไปสู่อันตรายได้ โดยเฉพาะหากไม่มีความรู้ หรือคำแนะนำ จากแพทย์โดยตรง

ที่มา: 5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการดีท็อกซ์ลำไส้ [2]

การดีท็อกซ์ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

แม้ว่าการทำดีท็อกซ์ในระยะสั้น เช่นการอดอาหาร หรือดื่มน้ำผักผลไม้ อาจทำให้น้ำหนักลดลง หรือค่าทางเมตาบอลิซึมบางตัวดีขึ้นบ้าง เช่นระดับอินซูลินหรือความดันโลหิต แต่ผลลัพธ์เหล่านี้ มักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และไม่คงอยู่ เมื่อกลับมารับประทานอาหารตามปกติ

ที่สำคัญคือ งานวิจัยที่สนับสนุนแนวทางนี้ ส่วนใหญ่ยังมีคุณภาพต่ำ มีผู้เข้าร่วมจำนวนน้อย ระยะเวลาการศึกษาไม่ยาวพอ และยังขาดการตรวจสอบ จากผู้เชี่ยวชาญ หรือองค์กรทางวิทยาศาสตร์อิสระ

นอกจากนี้ ยังไม่มีหลักฐาน ที่น่าเชื่อถือว่าการดีท็อกซ์สามารถ ขจัดสารพิษ ออกจากร่างกายได้จริง ตามที่โฆษณา การลดน้ำหนักที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เป็นการสูญเสียน้ำ หรือมวลกล้ามเนื้อ ไม่ใช่ไขมันส่วนเกิน จึงอาจไม่ส่งผลดีในระยะยาว และอาจก่อให้เกิดผลเสีย หากทำต่อเนื่องโดยไม่เหมาะสม [3]

สัญญาณอะไรที่บอกว่าต้องดีท็อกซ์?

  • อ่อนเพลียเรื้อรัง แม้นอนหลับเต็มที่ แต่ยังรู้สึกไม่มีแรง เหนื่อยง่าย อาจเกิดจากตับทำงานหนัก หรือฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล ส่งผลให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเอง ได้ไม่เต็มที่
  • ท้องอืด แน่นท้อง หรือระบบขับถ่ายไม่ปกติ ระบบย่อยอาหารที่ทำงานช้า หรือมีของเสียสะสมในลำไส้ อาจทำให้เกิดแก๊ส ท้องผูก หรือถ่ายไม่เป็นเวลา ซึ่งบ่งบอกว่าลำไส้ อาจต้องการการปรับสมดุล
  • ผิวพรรณหมองคล้ำ หรือเป็นสิวง่าย ผิวหนังเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่ร่างกายขับของเสีย หากระบบภายในมีสารพิษสะสม จะสะท้อนออกมาทางผิว เช่นผื่น สิว หรือผิวดูโทรมไม่สดใส
  • นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท ของเสียในร่างกาย โดยเฉพาะจากอาหารแปรรูป หรือแอลกอฮอล์ อาจรบกวนการหลั่งของเมลาโทนิน ทำให้นอนหลับไม่ลึก ตื่นกลางดึกบ่อย
  • ปวดศีรษะ หรือเวียนหัว โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน อาจเกิดจากสารเคมีตกค้าง หรือภาวะที่ร่างกายพยายามขับพิษ ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบประสาท เช่นการสะสมโลหะหนัก หรือการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป
  • กลิ่นปากหรือกลิ่นตัวแรงกว่าปกติ การที่ร่างกายขับของเสียไม่หมด โดยเฉพาะผ่านระบบตับ ลำไส้ หรือปัสสาวะ อาจทำให้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ แสดงออกทางลมหายใจ หรือผิวหนัง
  • อยากกินของหวาน หรืออาหารขยะบ่อยๆ ความอยากอาหารเหล่านี้ อาจสะท้อนถึงภาวะน้ำตาลในเลือดไม่สมดุล หรือการที่เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคในลำไส้ เติบโตมากเกินไป และส่งสัญญาณกระตุ้นความอยาก
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หากป่วยบ่อย ติดเชื้อได้ง่าย อาจเกิดจากร่างกายสะสมสารพิษ หรือได้รับสารอาหารสำคัญไม่เพียงพอ อาจต้องดีท็อกซ์เพื่อ เสริมระบบภูมิคุ้มกัน
  • ภาวะลำไส้รั่ว หรือภูมิแพ้อาหาร อาการเช่นท้องเสีย ท้องผูก แน่นท้อง หรือรู้สึกไม่สบาย หลังทานอาหารบางประเภท อาจบ่งบอกถึงเยื่อบุลำไส้ ที่ถูกทำลาย และไม่สามารถกรองสารแปลกปลอมได้ดี
  • น้ำหนักขึ้นง่ายแม้กินไม่มาก ระบบเผาผลาญที่ช้าลง จากการสะสมสารพิษ หรือการดื้อต่ออินซูลิน จากการกินน้ำตาล และไขมันมาก อาจเป็นสาเหตุ ให้น้ำหนักเพิ่มโดยไม่รู้ตัว

มีวิธีดีท็อกซ์ยังไงให้ปลอดภัย?

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่ช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี โดยเฉพาะตับและ ไต ซึ่งเป็นอวัยวะหลัก ในการกรองและขับสารพิษ น้ำจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และช่วยให้สารพิษที่ละลายน้ำ สามารถถูกขับออกทางปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เพิ่มใยอาหาร ใยอาหารจากผัก ผลไม้สด และธัญพืชเต็มเมล็ด เช่นข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต หรือเมล็ดแฟลกซ์ จะช่วยให้ลำไส้ เคลื่อนไหวเป็นปกติ ลดการสะสมของเสียในระบบย่อย และช่วยขับของเสียออกจากร่างกายทางอุจจาระ
  • ลดอาหารแปรรูป น้ำตาล และแอลกอฮอล์ อาหารแปรรูปมักมีสารเคมีเจือปน เช่นสารกันบูด สี และรสแต่งกลิ่น รวมถึงมีไขมันทรานส์และโซเดียมสูง น้ำตาลและแอลกอฮอล์ ยังเพิ่มภาระให้กับตับ และอาจรบกวนสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การเคลื่อนไหวร่างกาย เช่นเดิน วิ่ง โยคะ หรือการยืดเหยียด ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ทำให้สารอาหาร และออกซิเจน ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้ดีขึ้น เหงื่อที่ออกระหว่างออกกำลังกาย ยังช่วยขับของเสียบางส่วน ออกทางผิวหนัง
  • พักผ่อนให้พอ ช่วงเวลานอนหลับ เป็นช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง และฟื้นฟูระบบต่างๆ รวมถึงระบบล้างสารพิษ ของตับและสมอง การนอนน้อย อาจทำให้ร่างกายสะสมของเสียมากขึ้นในระยะยาว

สรุปแล้ว ดีท็อกซ์ ควรทำหรือไม่

ดีท็อกซ์ ควรทำหรือไม่

ดีท็อกซ์ ควรทำหรือไม่ การดีท็อกซ์ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน หากมีสุขภาพดี ระบบขับของเสียของร่างกาย ก็สามารถทำงานได้ตามธรรมชาติ แต่หากรู้สึกไม่สดชื่น ระบบขับถ่ายแปรปรวน หรือมีพฤติกรรม ที่อาจสะสมสารตกค้าง การปรับพฤติกรรม เช่นการกินผักผลไม้ ดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ ถือเป็นการดีท็อกซ์ในรูปแบบที่ปลอดภัย

ทำไมการดีท็อกซ์ได้รับความนิยม?

ดีท็อกซ์ได้รับความนิยม เพราะตอบโจทย์ความต้องการ ของคนยุคใหม่ ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า น้ำหนักขึ้น หรือระบบขับถ่ายไม่ปกติ อีกทั้งภาพลักษณ์ของการดีท็อกซ์ ที่ดูเป็นการทำความสะอาดจากภายใน และล้างของเสีย ทำให้หลายคน รู้สึกว่าเป็นทางลัดสู่สุขภาพดี

การดีท็อกซ์ต้องระวังอะไร?

การดีท็อกซ์บางประเภท เช่นการอดอาหารนานเกินไป หรือใช้ยาระบายติดต่อกัน อาจก่อให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หรือรบกวนสมดุล ของระบบภายในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ป่วย เด็ก สตรีมีครรภ์ หรือผู้สูงอายุ จึงไม่ควรทำ โดยไม่มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง