คลอโรฟิลล์ ช่วยอะไร ร่างกาย กินทำไม?

คลอโรฟิลล์ ช่วยอะไร

คลอโรฟิลล์ ช่วยอะไร คำถามที่หลายคนสงสัย เมื่อเริ่มดูแลสุขภาพ ในยุคที่การล้างสารพิษ และเสริมภูมิคุ้มกัน กลายเป็นเรื่องสำคัญ เรามักเห็นคลอโรฟิลล์รูปแบบน้ำ หรืออาหารเสริม วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป แต่แท้จริงแล้วคลอโรฟิลล์คืออะไร มาจากไหน และมีบทบาทต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

  • Chlorophyll คืออะไร?
  • ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์
  • อาหารที่มีคลอโรฟิลล์

สาร Chlorophyll คืออะไร?

คลอโรฟิลล์คือสารสีเขียว ที่พบในพืช มีบทบาทสำคัญ ในการสังเคราะห์แสง โดยช่วยให้พืช เปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ให้เป็นพลังงานเคมี ที่ใช้ในการเจริญเติบโต โครงสร้างของคลอโรฟิลล์ คล้ายคลึงกับ Hemoglobin ในเลือดมนุษย์ จึงมีการนำมาใช้ ในผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยเชื่อว่าช่วยบำรุงร่างกายหลายด้าน

คลอโรฟิลล์ ช่วยอะไร ประโยชน์

  • คลอโรฟิลล์ ช่วยอะไร ช่วยล้างสารพิษ (Detox ร่างกาย) คลอโรฟิลล์ถูก เชื่อว่ามีฤทธิ์ช่วยกำจัดสารพิษ ในร่างกาย โดยเฉพาะโลหะหนัก และสารเคมี ที่สะสมในตับ ลำไส้ และเลือด จากการศึกษาพบว่า คลอโรฟิลล์มีคุณสมบัติ ในการจับกับสารพิษ ทำให้ร่างกาย สามารถขับออกได้ง่ายขึ้น
  • เสริมสร้างเม็ดเลือดแดง เนื่องจากโครงสร้างคลอโรฟิลล์ คล้ายคลึงกับ Hemoglobin จึงมีการกล่าวถึงว่า อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างเม็ดเลือดแดง และช่วยในการลำเลียงออกซิเจน ทั่วร่างกาย
  • ลดกลิ่นตัว และกลิ่นปาก คลอโรฟิลล์มีคุณสมบัติ ในการดับกลิ่น ไม่พึงประสงค์ ช่วยควบคุมกลิ่นจากภายใน เช่นกลิ่นปาก กลิ่นตัว หรือแม้แต่กลิ่นปัสสาวะ จากการวิจัยในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง พบว่าการใช้คลอโรฟิลล์ ช่วยลดกลิ่นในปัสสาวะได้จริง
  • ต้านอนุมูลอิสระคลอโรฟิลล์มีสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย อันเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังและความเสื่อมของร่างกาย
  • ส่งเสริม การย่อยอาหาร มีรายงานว่า คลอโรฟิลล์ช่วยปรับสมดุล ในระบบทางเดินอาหาร ส่งเสริมการเจริญเติบโต ของจุลินทรีย์ที่ดี ในลำไส้ และอาจช่วยลดอาการท้องผูก

รูปแบบคลอโรฟิลล์ในอาหารเสริม

  • คลอโรฟิลล์ชนิดน้ำ เป็นที่นิยมมาก เพราะสามารถผสมน้ำดื่มได้ง่าย ดูดซึมรวดเร็ว โดยมักจะสกัดจากหญ้าข้าวสาลี หรือหญ้าข้าวบาร์เลย์ และมักระบุว่าเป็น “Sodium Copper Chlorophyllin” ซึ่งเป็นรูปแบบเสถียร ของคลอโรฟิลล์
  • คลอโรฟิลล์ชนิดผง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสูตรดื่มเอง หรือใช้ผสมในอาหาร และเครื่องดื่ม เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
  • คลอโรฟิลล์ชนิดแคปซูล สะดวกต่อการพกพา และรับประทาน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่น หรือรสของคลอโรฟิลล์ ในรูปแบบน้ำ

แหล่งอาหารธรรมชาติที่มีคลอโรฟิลล์

คลอโรฟิลล์ ช่วยอะไร
  • ผักใบเขียวเข้ม เช่นคะน้า ผักโขม ตำลึง ผักบุ้ง ผักชีลาว ผักชีฝรั่ง ใบย่านาง บรอกโคลี
  • สาหร่าย เช่นสาหร่ายสไปรูลินา (Spirulina) สาหร่ายคลอเรลลา (Chlorella) ทั้งสองชนิดนี้เป็นแหล่งคลอโรฟิลล์เข้มข้น นิยมในรูปแบบผง หรืออาหารเสริม
  • พืชใบอ่อนที่ใช้คั้นน้ำ เช่นหญ้าข้าวสาลี (Wheatgrass) หญ้าข้าวบาร์เลย์ (Barley grass) มักใช้คั้นเป็นน้ำคลอโรฟิลล์สด ให้ปริมาณสูง และดูดซึมได้ดี
  • ผักพื้นบ้านอื่นๆ เช่นยอดมะระขี้นก ยอดแค ใบชะพลู ผักแพว ใบแมงลัก

การเลือกเสริมคลอโรฟิลล์

  • ควรเลือกผลิตภัณฑ์ ที่ได้มาตรฐานการผลิตเช่น GMP หรือผ่านการรับรองจาก อย.
  • ตรวจสอบแหล่งที่มา ของวัตถุดิบ เช่นหญ้าข้าวสาลี อัลฟัลฟา หรือหญ้าบาร์เลย์
  • เลือกผลิตภัณฑ์ ที่ไม่มีสารกันเสีย หรือสีย้อมสังเคราะห์
  • หากมีโรคประจำตัว หรืออยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

คลอโรฟิลล์ไม่เหมาะกับใคร?

แม้ว่าคลอโรฟิลล์จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับทุกคน ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้คลอโรฟิลล์ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อน ได้แก่​

  • หญิงตั้งครรภ์ และมารดาที่ให้นมบุตร ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้คลอโรฟิลล์ ในช่วงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้
  • เด็กเล็ก ความปลอดภัยของคลอโรฟิลล์ในเด็ก ยังไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนให้เด็กใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีคลอโรฟิลล์
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่มีโรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน หรือโรคมะเร็ง ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนใช้คลอโรฟิลล์ เนื่องจากอาจมีผลกระทบ ต่อสุขภาพ หรือการทำงาน ของยาอื่นๆที่ใช้อยู่
  • ผู้ที่มีอาการแพ้หรือ ไวต่อคลอโรฟิลล์ หากเคยมีอาการแพ้คลอโรฟิลล์ หรือส่วนประกอบ ในผลิตภัณฑ์ที่มีคลอโรฟิลล์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้
  • ผู้ที่ใช้ยา ที่ทำให้ผิวไวต่อแสง คลอโรฟิลล์อาจเพิ่มความไวต่อแสง ของผิวหนัง หากใช้ร่วมกับยาบางชนิด เช่นยาปฏิชีวนะ กลุ่มเตตราไซคลีน หรือยารักษาสิวบางประเภท อาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดผื่น หรือผิวไหม้จากแสงแดด
  • ผู้ที่ใช้ยาเมโธเทรกเซต (Methotrexate) คลอโรฟิลล์อาจมีผลต่อการทำงาน ของยาเมโธเทรกเซต ซึ่งใช้รักษาโรคข้ออักเสบ และมะเร็งบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนใช้คลอโรฟิลล์ ร่วมกับยาเมโธเทรกเซต

ที่มา: คลอโรฟิลล์ [1]

ใจความสำคัญ ของคลอโรฟิลล์

คลอโรฟิลล์เป็นสารสกัดจากพืช ที่มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งการล้างสารพิษ ส่งเสริมระบบเลือด ลดกลิ่นตัว และต้านอนุมูลอิสระ โดยสามารถทานได้ทั้งจากแหล่งธรรมชาติ และในรูปแบบอาหารเสริม อย่างไรก็ตาม แม้คลอโรฟิลล์จะเป็นสารที่ปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ก็ควรรับประทาน ในปริมาณที่เหมาะสม

กินคลอโรฟิลล์ทุกวันอันตรายไหม?

การรับประทานคลอโรฟิลล์ ในปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย สำหรับผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม การรับประทานคลอโรฟิลล์ทุกวัน อาจมีผลข้างเคียง หรือความเสี่ยงบางประการ ดังนี้ ​

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

  • การเปลี่ยนสีของปัสสาวะ และอุจจาระ: อาจทำให้ปัสสาวะ และอุจจาระ มีสีเขียว ซึ่งเป็นผลจากการขับสารคลอโรฟิลล์ ออกจากร่างกาย ​
  • อาการทางระบบทางเดินอาหาร: บางรายอาจมีอาการท้องเสีย หรือปวดท้อง หลังจากรับประทานคลอโรฟิลล์ ​
  • อาการแพ้: ในบางกรณี อาจเกิดอาการแพ้ เช่นผื่นคัน หายใจลำบาก หรือบวมที่ใบหน้า และลำคอ ​

คำแนะนำในการรับประทาน

  • ปริมาณที่แนะนำ: สำหรับผู้ใหญ่ ควรรับประทานคลอโรฟิลล์ ไม่เกิน 100–300 มิลลิกรัมต่อวัน และสำหรับเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 90 มิลลิกรัมต่อวัน ​
  • การสังเกตอาการ: หากมีอาการผิดปกติ หลังการรับประทาน เช่นผื่นคัน หายใจลำบาก หรืออาการทางระบบทางเดินอาหาร ควรหยุดใช้ และปรึกษาแพทย์ทันที

​ที่มา: คลอโรฟีลล์มีประโยชน์จริงหรือ? [2]

คลอโรฟิลล์มีผลกับไตไหม?

การรับประทานคลอโรฟิลล์ ในปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลให้ไตทำงานหนัก โดยเฉพาะในเด็ก อายุต่ำกว่า 4 ปี​ กระทรวงสาธารณสุขได้เตือนว่า การรับประทานคลอโรฟิลล์ เกินวันละ 450 มิลลิกรัมอาจทำให้ไตทำงานหนัก

ซึ่งอาจส่งผลระยะยาว ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปีที่อวัยวะภายใน ยังทำงานไม่เต็มที่ จึงควรหลีกเลี่ยง การให้เด็กในวัยนี้ รับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคลอโรฟิลล์ [3]

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง