โบรมีเลน คุณสมบัติที่มากกว่าการย่อยโปรตีน

โบรมีเลน

โบรมีเลน เป็นชื่อที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่มันกลับเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญ ในกระบวนการทางธรรมชาติหลายประการ ทั้งในร่างกายมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม เอนไซม์โบรมีเลนมาจากสับปะรด ผลไม้ธรรมดาที่เราคุ้นเคยกันดี บทความนี้จะพาไปสำรวจข้อมูลหลากหลายด้าน เกี่ยวกับเอนไซม์โบรมีเลน

เอนไซม์ โบรมีเลน (Bromelain) คืออะไร

โบรมีเลน

เอนไซม์โบรมีเลน คือเอนไซม์ในกลุ่ม Protease ที่มีความสามารถ ในการย่อยสลายโปรตีนให้กลายเป็นกรดอะมิโน หรือเปปไทด์สั้นๆ โดยพบได้ในพืชตระกูลสับปะรด (Ananas comosus) ซึ่งส่วนที่มีปริมาณโบรมีเลนเข้มข้นที่สุด คือแกนกลางของผล และลำต้น

โบรมีเลนถูกค้นพบครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1891 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเวเนซุเอลา และได้รับความสนใจจากวงการวิทยาศาสตร์ และการแพทย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากคุณสมบัติที่หลากหลาย เช่นการบรรเทาอาการอักเสบ สมานแผล และช่วยย่อยโปรตีน อย่างมีประสิทธิภาพ

ในปัจจุบัน โบรมีเลนได้รับการสกัด และใช้งานอย่างกว้างขวาง ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุตสาหกรรมอาหาร และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ทั้งยังเป็นหัวข้อในงานวิจัยมากมาย ที่มุ่งค้นหาประโยชน์เพิ่มเติม เพื่อการส่งเสริมสุขภาพ และการรักษาโรคในอนาคต อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น [1]

สับปะรดมีเอนไซม์ที่ชื่อว่าอะไร

สับปะรดมีเอนไซม์ชื่อว่าโบรมีเลน (Bromelain) ซึ่งเป็นเอนไซม์โปรตีเอส ที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนให้กลายเป็นกรดอะมิโน หรือเปปไทด์ เอนไซม์นี้พบได้มากในแกนกลาง และลำต้นของสับปะรด นอกจากบทบาททางการย่อยอาหารแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ และบรรเทาอาการบวมในร่างกายอีกด้วย [2]

คุณสมบัติชีวเคมีของ โบรมีเลน

โบรมีเลนจัดอยู่ในกลุ่มเอนไซม์ protease ซึ่งมีความสามารถในการย่อยสลายโปรตีน ให้กลายเป็นกรดอะมิโน เอนไซม์นี้สามารถทำงานได้ในช่วง pH ที่กว้าง ตั้งแต่กรดจนถึงเบสอ่อน ทำให้เหมาะกับการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ โบรมีเลนยังมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในหลายด้าน เช่น

  • ต้านการอักเสบ: ช่วยลดการบวม และการอักเสบในร่างกาย
  • การย่อยอาหาร: เสริมสร้างระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะในกรณีที่มีโปรตีนสูง
  • การรักษาแผล: ส่งเสริมกระบวนการสมานแผล และการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ

Bromelain ช่วยเรื่องอะไร

โบรมีเลนมีคุณประโยชน์หลากหลาย ทั้งในด้านสุขภาพ และการรักษา โดยเฉพาะคุณสมบัติเด่นในด้านต่างๆ ดังนี้

  • โบรมีเลน เป็นเอนไซม์ที่ช่วยย่อยสลายโปรตีน ให้กลายเป็นกรดอะมิโนหรือเปปไทด์ มักถูกนำมาใช้เป็นอาหารเสริมระบบย่อยอาหาร สำหรับผู้มีปัญหาในการย่อยโปรตีน
  • ลดการอักเสบและบวม มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) ช่วยลดอาการบวม และเจ็บปวด เช่นหลังการผ่าตัด หรืออาการจากการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ
  • บรรเทาอาการของโรคข้ออักเสบ โบรมีเลนมีส่วนช่วยลดอาการบวม และปวดในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม หรือข้ออักเสบ
  • เสริมระบบภูมิคุ้มกัน โบรมีเลนอาจช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ให้ทำงานได้ดีขึ้น และมีบทบาทในการช่วยลดความเสี่ยง ของการติดเชื้อ
  • ส่งเสริมการรักษาแผล มีคุณสมบัติช่วยสมานแผล และลดการติดเชื้อ ในบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
  • ลดอาการของโรคจมูกอักเสบ จากภูมิแพ้ มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่า โบรมีเลนช่วยบรรเทาอาการ ของผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ เช่นคัดจมูกและน้ำมูกไหล

ที่มา: Bromelain [3]

คำแนะนำการใช้งาน โบรมีเลน

  • การรับประทานเพื่อช่วยย่อยอาหาร ขนาดแนะนำ 200-500 มิลลิกรัมต่อวัน ควรรับประทานพร้อมอาหาร หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิต เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการย่อยโปรตีน หรือผู้ที่รับประทานอาหาร ที่มีโปรตีนสูง
  • การลดการอักเสบ หรือบรรเทาอาการบวม ขนาดแนะนำ 500-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งรับประทาน 2-3 ครั้ง รับประทานระหว่างมื้ออาหาร เพื่อให้โบรมีเลนเข้าสู่กระแสเลือด และลดอาการอักเสบ ใช้ในกรณีอาการบวมหลังผ่าตัด หรือการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ
  • การบรรเทาอาการข้ออักเสบ ขนาดที่แนะนำ: 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวันควรรับประทานเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการอักเสบของข้อ
  • การรับประทานโบรมีเลนคู่กับ โพรไบโอติกส์ ช่วยเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร และรักษาสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ทำให้ระบบย่อย และดูดซึมสารอาหาร ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างคือการทานโบรมีเลนเสริมอาหาร พร้อมอาหารเสริมโพรไบโอติกส์ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ
  • คำแนะนำสำหรับการใช้ในรูปแบบทาผิว (เฉพาะที่) โบรมีเลนบางสูตรอาจใช้ทาผิว เพื่อช่วยสมานแผล หรือผลัดเซลล์ผิว ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้งาน โดยทาที่บริเวณเล็กๆ แล้วรอสังเกตอาการ 24 ชั่วโมง

ข้อควรระวังการใช้งาน โบรมีเลน

  • ผู้ที่แพ้สับปะรด หรือสารประกอบอื่นที่คล้ายกัน: เนื่องจากโบรมีเลนสกัดจากสับปะรด ผู้ที่มีประวัติแพ้สับปะรด ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานทุกกรณี เพราะอาจเกิดอาการแพ้ เช่ ผื่นแดง คัน หรือหายใจลำบาก
  • ผลข้างเคียงที่พบได้: บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย หรือปวดท้องหลังจากรับประทานโบรมีเลน หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด: เช่นวาร์ฟาริน (Warfarin) หรือแอสไพริน (Aspirin) เพราะโบรมีเลนอาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดเลือดออกง่าย หรือเลือดไหลไม่หยุด
  • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยเพียงพอ สำหรับกลุ่มนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว: เช่นโรคตับ หรือโรคไต อาจต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะการเผาผลาญ และขับสารอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาขนาดที่เหมาะสม
  • ปฏิกิริยากับยาอื่น: โบรมีเลนอาจส่งผลต่อการดูดซึม หรือประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น Tetracycline หรืออาจเสริมฤทธิ์ยาต้านการอักเสบ เช่นไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
  • การใช้ในเด็ก: หากต้องการให้เด็กใช้โบรมีเลน ควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน เนื่องจากข้อมูลการใช้งานในเด็ก ยังมีจำกัด
  • การใช้งานโบรมีเลนอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำ ของผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ ที่ไม่พึงประสงค์

สรุป โบรมีเลน สารธรรมชาติ ช่วยย่อยอาหาร

โบรมีเลนเป็นสารธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติน่าทึ่ง และประโยชน์หลากหลาย ตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพ ระบบย่อยอาหาร อย่างไรก็ตาม การใช้งานควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ หากใช้อย่างถูกต้อง โบรมีเลนจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ที่มีคุณค่าสำหรับการดูแลสุขภาพ ในชีวิตประจำวัน

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน
Picture of Wellness Whisperer
Wellness Whisperer

แหล่งอ้างอิง