ลูทีน บำรุงและปกป้องดวงตาได้จริงไหม

ลูทีน

ลูทีน (Lutein) เป็นสารอาหารที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะในโลกปัจจุบันที่เราต้องใช้สายตากับหน้าจอต่างๆ เช่นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและ Tablet การเสริมลูทีนในอาหารจึงกลายเป็นหัวข้อ ที่หลายคนให้ความสำคัญ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของลูทีน ครอบคลุมหลายด้านต่อสุขภาพ

สาร ลูทีน มีประโยชน์ยังไง

สารลูทีนจัดอยู่ในกลุ่มของแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งเป็นสารสีเหลืองถึงแดง ที่พบในพืชผัก และผลไม้ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่าลูทีนมีบทบาทสำคัญ ต่อการเสริมสร้างสุขภาพในหลายด้าน โดยมีประโยชน์หลักๆ ดังนี้

  • บำรุงสุขภาพดวงตา ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม ลูทีนช่วยกรองแสงสีน้ำเงิน ที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม ที่มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ
  • ลดความเสี่ยงของต้อกระจก การบริโภคลูทีน อาจช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดต้อกระจก ซึ่งเป็นภาวะ ที่เลนส์ตาขุ่นมัว และส่งผลต่อการมองเห็น
  • คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ลูทีนมีคุณสมบัติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนในการลดความเสี่ยง ของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่นโรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด
  • บำรุงผิวพรรณ ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ลูทีนช่วยปกป้องผิว จากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV และปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ส่งผลให้ผิวดูอ่อนเยาว์ และมีสุขภาพดี
  • สนับสนุนสุขภาพหัวใจ การบริโภคลูทีน อาจมีส่วนช่วยลดการอักเสบ และป้องกันการสะสมของไขมัน ในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยง ของโรคหัวใจ

ที่มา: ลูทีนคืออะไร? สาร Lutein พบมากในไหน [1]

ลูทีนห้ามกินคู่กับอะไรที่อันตราย

ลูทีนเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา และร่างกาย โดยทั่วไปสามารถรับประทานร่วมกับอาหาร และยาชนิดอื่นได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่ควรระมัดระวัง เช่น

  • ผู้สูบบุหรี่: มีงานวิจัยบางชิ้น ที่ชี้ให้เห็นว่าการบริโภคลูทีน อาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดมะเร็งปอด ในผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับแร่ใยหิน
  • ผู้ป่วยโรคซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis): ผู้ป่วยโรคนี้ มักมีปัญหาในการดูดซึมสารอาหาร รวมถึงลูทีน ซึ่งอาจทำให้ระดับลูทีนในเลือดต่ำกว่าปกติ
  • การรับประทานลูทีน ร่วมกับอาหารไขมันสูง: ลูทีนจะถูกดูดซึมได้ดีที่สุด เมื่อบริโภคพร้อมอาหารที่มีไขมันสูง ดังนั้น การรับประทานลูทีน ร่วมกับอาหารที่มีไขมัน ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มการดูดซึมของลูทีน เข้าสู่ร่างกาย

แม้ลูทีนจะมีประโยชน์ แต่ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร ก่อนเริ่มรับประทาน โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัว หรือกำลังใช้ยาชนิดอื่น เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยา และอาหารเสริมที่อาจเกิดขึ้น [2]

ลูทีน บำรุงสายตาดีจริงไหม

ลูทีนมีส่วนช่วยในการบำรุง และปกป้องดวงตา โดยจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ โดยเฉพาะการช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม และต้อกระจก การรับประทานอาหารที่มีลูทีนสูง หรือการเสริมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีลูทีน เป็นวิธีที่ดี ในการดูแลสุขภาพดวงตา

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน กับการป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม พบว่าการเสริมลูทีนและ ซีแซนทีน ในปริมาณ 20 มก. ต่อวัน ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของสารสีที่จอตา (Macular Pigment Optical Density: MPOD) และปรับปรุงการมองเห็น ในผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อม ระยะเริ่มต้น

จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ การบริโภคลูทีนมีส่วนช่วยในการบำรุงและปกป้องดวงตา โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจก การรับประทานอาหารที่มีลูทีนสูงหรือการเสริมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีลูทีนจึงเป็นวิธีที่ดีในการดูแลสุขภาพดวงตา [3]

แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย ลูทีน พร้อมปริมาณ

ลูทีน

แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยลูทีน และปริมาณที่พบในอาหารแต่ละชนิด ปริมาณต่อ 100 กรัม มีดังนี้

  • ผักคะน้า: 100 กรัม-มีลูทีนประมาณ 4.8–13.4 มิลลิกรัม
  • ผักปวยเล้ง: 100 กรัม-มีลูทีนประมาณ 6.5–13.0 มิลลิกรัม
  • บรอกโคลี (สุก): 100 กรัม-มีลูทีนและซีแซนทีนรวมกันประมาณ 2.2 มิลลิกรัม
  • ผักกาดแก้ว (ดิบ): 100-กรัม มีลูทีนประมาณ 2.6 mg.
  • ผักใบเขียวเข้มอื่นๆ: เช่นผักโขมและเคลมีลูทีน 5-12 mg.
  • ข้าวโพด: มีลูทีน 0.8-1.2 มก.
  • พริกหยวกสีแดง: มีลูทีน 0.7-1.0 มก.
  • ฟักทอง: มีลูทีน 0.5-1.2 มก.
  • ถั่วลันเตา: มีลูทีนที่ประมาณ 1.5-2.0 milligram
  • ผลไม้สีสดใส: เช่น กีวีและองุ่นเขียว มีลูทีนที่ประมาณ 0.3-0.7 milligram
  • ส้ม: มีลูทีนที่ประมาณ 0.2-0.3 milligram
  • ไข่แดง: หนึ่งฟองมีลูทีนประมาณ 0.1 mg.

ปริมาณของ ลูทีน ที่แนะนำต่อวัน

ปริมาณลูทีน ที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน สำหรับการดูแลสุขภาพดวงตา และร่างกาย อยู่ที่ 6-10 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กและผู้ใหญ่ทั่วไป การบริโภคในช่วง 6-10 มิลลิกรัมถือว่าเพียงพอ ผู้ที่มีปัญหาสายตา หรือผู้สูงอายุ อาจต้องการในปริมาณที่สูงขึ้นถึง 20 มิลลิกรัมต่อวันทั้งนี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

คำแนะนำในการบริโภค ลูทีน และข้อควรระวัง

คำแนะนำในการบริโภคลูทีน

  • รับประทานพร้อมไขมันที่ดี ลูทีนละลายในไขมัน ดังนั้นการบริโภคร่วมกับอาหารที่มีไขมันดี เช่นน้ำมันมะกอก
    avocado หรือถั่ว จะช่วยเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น
  • เลือกแหล่งอาหารที่หลากหลาย ควรเน้นรับประทานอาหาร ที่มีลูทีนสูงจากธรรมชาติ เช่นผักใบเขียว (คะน้า, ผักโขม) ข้าวโพด ฟักทอง หรือไข่แดง เพื่อให้ได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ร่วมด้วย
  • เสริมด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเสริม (ถ้าจำเป็น) หากไม่สามารถบริโภคอาหาร ที่มีลูทีนเพียงพอ อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยเลือกชนิดที่มีการรับรองคุณภาพ และปรึกษาแพทย์ก่อน

ข้อควรระวังในการบริโภคลูทีน

  • การบริโภคเกินความจำเป็น การได้รับลูทีนมากเกินไป อาจทำให้ผิวหนังมีสีเหลือง (Carotenemia) ซึ่งไม่เป็นอันตราย แต่ควรลดปริมาณการบริโภคลง
  • ผู้สูบบุหรี่ บางการศึกษาชี้ว่าผู้สูบบุหรี่ อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด หากบริโภคลูทีนในปริมาณสูง ร่วมกับสารแคโรทีนอยด์ชนิดอื่น
  • การใช้ยาบางชนิด ควรระมัดระวังการรับประทานลูทีน ร่วมกับยา เช่นยาลดไขมันบางชนิด หรือยารักษาโรคระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจลดการดูดซึมของลูทีน
  • ปรึกษาแพทย์ก่อน เริ่มใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยยา
  • อย่าพึ่งพาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพียงอย่างเดียว การบริโภคอาหารที่หลากหลาย ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการได้รับลูทีน และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย

สรุป ลูทีน สารอาหารที่ปกป้องดวงตาจากแสงสีฟ้า

ลูทีนเป็นสารอาหาร ที่มีประโยชน์หลากหลาย ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องดวงตาจากแสงสีฟ้า และลดความเสี่ยงของโรคตาเสื่อม แต่ยังช่วยบำรุงผิวพรรณ และเสริมระบบภูมิคุ้มกัน การรับประทานอาหารที่มีลูทีนสูง จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่ดี และยั่งยืนในระยะยาว

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง